ปิงปอง ศิรศักดิ์ อดีตเจ้าพ่อเพลงละครยุค 90s สู่ลุงปอง YouTuber ขวัญใจวัยรุ่น

อดีตเจ้าพ่อเพลงละครยุค 90s สู่ลุงปอง YouTuber ขวัญใจวัยรุ่น

Introduction

  • เมื่อมีโอกาสเข้ามาในชีวิตพร้อมกันสองทาง และเป็นโอกาสที่ชอบด้วยทั้งสอง จะทำอย่างไร
  • เสียงร้องเพลงทำให้มีชื่อเสียงขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว สุดท้ายผันด้วยมาทำงานเบื้องหลัง
  • เข้าสู่วงการคอนเทนต์เพราะการบวชที่เปลี่ยนชีวิต จนตอนนี้ทำงานเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ลุงปองของหลายๆ คน

บทเพลงที่เก็บเอาดาวทุกดวง เขียนเป็นท่วงทำนองขับขาน~

มีใครที่อ่านเนื้อเพลงแล้วพอจะคุ้นทำนองขึ้นมาในใจกันบ้าง ถ้าคุณพอจะนึกออก แสดงว่าคุณเคยได้รู้จักเพลงของคุณ ปิงปอง ศิรศักดิ์ พานิช Influencer ที่เราจะสัมภาษณ์กันใน 9Conversations วันนี้

คุณปิงปองเสริมต่อท้ายหลังแนะนำตัวว่า ถ้าเป็นคนรุ่นเก่าๆ หน่อย Gen X เขาก็จะรู้จักผมในฐานะเป็นนักร้องประกอบละคร ถ้าเป็นรุ่นใหม่ๆ เป็นเด็กส่วนหนึ่งในปัจจุบันจะรู้จักผมในฐานะ ลุงปอง POP มั้ย ลุงปอง Mass music ลุงปอง ช่องน้าหนวด หรือลุงปอง เทพลีลา ลุงปอง ยกกำลัง หลากหลายนามสกุลเพราะจะเป็นช่องที่คุณปปิงปองได้เข้าไปมีส่วนร่วมอยู่เสมอ

ก่อนจะเป็นอินฟลูฯ

ช่วงชีวิตวัยรุ่น เป็นช่วงที่มีความเฮี้ยว ความดื้อปกติของวัยรุ่น ตอนสมัยมหาวิทยาลัยคุณปิงปองเรียนอยู่ที่ ครุศาสตร์ เอกศิลปะศึกษา จุฬาฯ และมีโอกาสทำวงร่วมกับเพื่อน แนวเพลงอินดี้ ซึ่งในยุคนั้นจะเป็น Electronic rock ค่อนข้างนิยมเป็นอย่างมาก จากนั้นได้ลองเอา Demo ไปเสนอตามค่ายเพลง แต่ปรากฎว่าส่งไปค่ายใด หรือไปร่วมงานกับค่ายไหนก็ไม่ได้ไปต่อ จึงหันมาเป็นนักดนตรีกลางคืน

ซึ่งเมื่อครั้งเป็นนักดนตรีกลางคืน บังเอิญมีโอกาสเข้ามาพร้อมกัน 2 อย่าง เริ่มจากรุ่นพี่อย่าง พี่แน่น สราวุธ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังทำเพลงประกอบละครเวที เพลงประกอบละครให้ทาง Excat และทำเพลงประกอบโฆษณา รุ่นพี่ได้ชวนมาร้องเพลงในบทบาทคอรัส หรือร้องเพลงประกอบละคร ซึ่งตอนแรกเป็นงานเบื้องหลัง

ในขณะเดียวกันมีโอกาสจากอีกฝั่งที่เป็นงานร้านเหล้า ที่เข้ามาพร้อมกัน แต่เมื่อทำเพลงประกอบละครไปได้สักระยะ ครั้งนั้นที่ได้ปล่อยเพลง ‘แทนใจ’ เพลงประกอบละครเรื่องเพลงผีบอก กลับได้รับความนิยทเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าดังเป็นพลุแตก โดยไม่มีคาดคิดมากก่อน จนในที่สุด ‘คุณบอย ถกลเกรียรติ’ ได้เรียกเข้าไปคุยถึงโอกาสการทำอัลบั้ม ไม่หนำซ้ำทางด้านธุรกิจร้านเหล้าก็ได้รับความนิยมเช่นกัน

ชีวิตจึงถูกเปลี่ยนตั้งแต่วันนั้น กลายเป็น ‘ปิงปอง’ ที่มีธุรกิจร้านเหล้าและเป็นนักร้องเพลงประกอบละคร ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ได้ยืนพื้นชีวิตนักร้องอยู่หลายปี ร้องเพลงประกอบละครจนหมดสัญญากับที่ Exact จึงตัดสินใจออกมาเป็น Freelance ทำเพลงประกอบโฆษณา เพลงประกอบละคร และเป็น Producer ให้ศิลปินอินดี้ เป็นงานเบื้องหลัง ควบคู่กับการทำธุรกิจร้านเหล้า

รู้สึกอย่างไรที่มีคนมองเราอีกแบบ ทั้งๆ ที่เราเป็นอีกแบบ ?

คุณปิงปองกับเราว่า คนจะมองเราอย่างไม่ได้ให้ความสำคัญมาก เพราะรู้สึกมีความสุขในแต่ละสิ่งที่ตัวเองได้ทำ ไม่ว่าจะช่วงชีวิตใด หรือบทบาทไหน

“เพียงแต่มันเป็นเราในแต่ละ Part ก็เวลาเราชอบฟังเพลงสบายๆ เราก็ชอบแบบนี้ แต่พอเวลาเราอยู่กับเด็กวัยรุ่น เราก็ชอบทำอะไรแบบนี้ เวลาเราทำธุรกิจเราก็เป็นแบบนี้ มันก็เป็นเราทั้งหมด ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก”

แต่ถ้าสิ่งที่จะทำให้ไม่ค่อยรู้สึกดีเท่าไหร่ หากเมื่อมีคนที่คาดหวังมากๆ กับคุณปิงปองว่าจะต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น แต่เมื่อได้ห็นอีกมุมของคุณปิงปองกลับรู้สึกเสียใจ สิ่งนี้ก็จะทำให้คุณปิงปองรู้สึกเสียใจไปด้วย

“เพราะว่าเรารู้สึกว่าทุกอย่างมันก็เป็นเราไง คือถ้าเขาแค่เซอร์ไพร์ส เราโอเค แต่ถ้าเขาบอก ปิงปองต้องเป็นอย่างนั้น ปิงปองต้องเป็นคนอย่างนี้สิ อ่าา เราก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด เพียงแต่ด้านนี้เขาไม่เคยเห็นไง เราเปลี่ยนไม่ได้หรอก”

คนที่ฟังเพลงคุณปิงปองจากสมัยนั้น แล้วเขาไม่ได้ติดตามต่อ อาจจะมีภาพจำว่าคุณปิงปองเป็นคนที่เรียบร้อย แต่นั้นมันเกิดขึ้นเพราะการร้องเพลงประกอบละคร

“มันมีตัวตนเราอยู่แค่ประมาณ 50% อีก 50% มันคือเราเป็นตัวแทนของละคร”

ซึ่งละครส่วนใหญ่ที่ร้องเพลงประกอบจะเป็นแนว Drama นานๆ ทีถึงจะมี Comedy คนจึงมักจะชินแบบนั้นกัน แต่ว่าเมื่อทุกอย่างผ่านมานาน มีการใช้โซเชียลเข้ามา จึงทำให้คนเริ่มเห็นความคิด วิธีการใช้ชีวิตของคุณปิงปองมากขึ้น ทำให้ได้รู้จักตัวตนของคุณปิงปองมากขึ้นเช่นกัน ทุกวันนี้คนจะจำคุณปิงปองได้ในฐานะ ‘ลุงปอง’ ที่มีความเด๋อ ฮ่า เป็นตัวตนที่คำจำได้ ซึ่งใชีวิตจริงเมื่อใช้เวลาร่วมกับเพื่อนๆ คุณปิงปองเผยว่า การเป็นตัวตนของตัวเอง ก็ทำให้ใช้ชีวิตได้ง่ายดี

“รู้สึกว่าสบายใจที่จะเป็นกับ Version ปัจจุบันนี้มากกว่า เพราะว่าการเป็นอินฟลูเอนเซอร์มันคือการขายความ Real ขายความจริง”

Freedom ที่มากกว่าเมื่อก่อน ?

การเป็นศิลปินยุคนั้นจะเป็นการทำงานร่วมกับทีม ได้เลือกภาพลักษณ์ที่น่าสนใจให้กับคุณปิงปอง จนทำให้ผู้คนติดภาพลักษณ์นั้นว่าคุณปิงปองจะต้องเรียบร้อย ในทางกลับกันทุกวันนี้ที่ทำงานในฐานะอินฟลูเอนเซอร์ ความเป็นอิสระมันก็ไม่ได้มากขนาดนั้น ถึงแม้เราจะเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ สนุกได้เต็มที่

แต่เมื่อเวลาต้องอยู่หน้ากล้อง ยังคงต้องมีสติ และนึกคิดให้รอบคอบอยู่เสมอ เพราะว่า การใช้โซเชียลมีเดีย การเล่นมุกตลกบางอย่าง คำพูดเหล่านั้นเหมาะสมแล้วหรือยัง และเป็นเรื่องราวที่ควรจะพูดมากน้อยเพียงใด เพื่อป้องกันไม่ไห้เนื้อหาที่ออกไปนั้นกลายเป็นความเข้าใจผิดจนส่งปัญหาใหญ่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นการทำงานร่วมกับอินฟลูฯ ทั้งอื่น หรือศิลปิน ยิ่งต้องระวัง และรอบคอบในการใช้คำพูดเพื่อเป็นการให้เกรียติแขกรับเชิญอยู่เสมอ

“การเป็นอินฟลูเอนเซอร์ของผม ในพื้นที่ของผม มันกลายเป็นว่าการเป็นลุงปองคนนึง ลุงปองเด๋อๆ ที่เดินลงมาในสนามที่ตัวเองไม่คุ้นเคย เหมือนต้องชาเลนจ์ทุกอย่างไปเรื่อยๆ”

การที่ได้ลองทำอะไรอยู่เรื่อยๆ มันได้สร้างความสนุกให้คุณปิงปอง ที่ได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ จากเด็กสมัยนี้ ที่เขาคิดอะไรกันอยู่ ทั้งเรื่องสังคม และเรื่องราวอัปเดตต่างๆ กลายเป็นชาเลนจ์ที่สนุกอย่างหนึ่ง

มองภาพสังคมทุกวันนี้อย่างไร ?

คุณปิงปองเผยมุมมองเกี่ยวกับสังคมในปัจจุบันว่า

“เราเติบโตมาในสังคมที่เรามีคำถาม แต่บางทีเราไม่ได้คำตอบ หรือบางทีเขาบอกให้เราถามได้ กลายเป็นว่าคำถามของเรามันทำให้คนเดือดร้อน หรือกลายเป็นเด็กที่ไม่น่ารัก ซึ่งเราไม่ค่อยเข้าใจกับตรรกะเหล่านี้”

ในเมื่อการตั้งคำถามในเรื่องบางเรื่อง เมื่อถามออกไปมักจะสร้างความเดือนร้อนให้ตัวเราเอง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามที่เราไม่ได้เข้าใจในตรรกกะนั้นๆ แต่เมื่อเวลาผ่าน ในยุคนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เราได้เห็นเด็กรุ่นใหม่หลายๆ คนที่เขากล้าลุกขึ้นมาถาม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี คุณปิงปองเชื่อว่า ยุคนี้ที่เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง เราสามารถทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เห็นด้วยกับคนอื่น ซึ่งเมื่อสังคมเกิดการถกเถียงกัน มันอาจจะเกิดประโยชน์ให้กับสังคมได้

“เราก็เลยลุกขึ้นมาเป็นหนึ่งในคนรุ่นเก่าที่จะบอกว่าฉันก็มีคำถามแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นฉันถามไม่ได้ ด้วยรูปแบบสังคมอะไรบางอย่าง และเรารู้สึกว่า เราอยากแลกเปลี่ยน เราไม่ได้คิดเหมือนกับคนรุ่นเราทุกเรื่อง แน่นอนว่ากับคนรุ่นใหม่ เราก็ไม่ได้คิดเหมือนคนรุ่นใหม่ทุกเรื่องเหมือนกัน”

Generation Gap ไม่มีทางหมดไป

มันเป็นเหมือนสารเคมีธรรมชาติของมนุษย์ ตอนเด็กๆ เรากำลังเติบโต เซลล์สมองเรากำลังเติบโต เรากำลังอยู่ในช่วงเรียนรู้ ร่างกายเราจะถูกสั่งการว่าให้เรียนรู้ ในขณะที่เราเริ่มโต ร่างกายเราเริ่มถดถอย หยุดเรียนรู้ อย่างเวลาของวัยรุ่นกับเวลาของผู้ใหญ่มันก็ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น Gen gap ไม่มีทางหมดไป ซึ่งในบางเรื่องที่จะให้หลายๆ คนเห็นภาพตรงกัน มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา แต่สำหรับในตอนนี้คุณปิงปองอยากให้ทุกคนเผื่อไว้หน่อย…

“ผมขอใช้คำว่าชุดความคิดเผื่อใจ ตอนนี้เผื่อไว้หน่อย บางเรื่องเรายังไม่รู้ สำหรับเด็กๆ ที่ยังไม่ได้ใช้เวลาเท่าผู้ใหญ่ เรายังไม่รู้เราจะเกิดอะไรขึ้น มันเป็นไปได้เหมือนกัน คนที่เป็นผู้ใหญ่อาจจะคิดไว้เสมอว่าโลกมันหมุนไปทุกวัน มันมีวันที่เราเชยแน่นอน สิ่งที่เราคิดว่าถูกมันอาจจะผิดก็ได้”

ทุกวันนี้คิดว่า Generation Gap เป็นเรื่องกำลังปรับตัว และเริ่มเกิดการยอมรับกันมากขึ้นได้ ถ้าต่างคนต่างคิดเผื่อกันไว้ มันจะเกิดเป็นเรื่องที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ทุกคนกำลังเห่อกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งในตอนนี้ที่มีอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ เป็นอาชีพใหม่ๆ เข้ามาในสังคมที่ทำเงินได้ มันเป็นเรื่องใหม่ที่หลายคนไม่เข้าใจมันน่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก พอมันถูกเถียงกันไปเรื่อยๆ จะไปเจอจุดค่าเฉลี่ย x̄ ค่าเฉลี่ย ในตอนนี้ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพูด แต่ยังไม่รู้ว่า x̄ มันอยู่ตรงไหนที่เหมาะสมมันอยู่ตรงไหนที่เราจะสามารถทำได้จริงๆ

การบวชเปลี่ยนชีวิต

เมื่อ 8 ปีที่แล้ว คุณปิงปองเล่าว่าการทำร้านเหล้าเดินทางถึงทางตัน และประสบความเร็จในด้านที่ต้องการ จึงรู้สึกถึงทางตัน สุดท้ายจึงตัดสินใจบวช ซึ่งปรากฎว่าการบวชครั้งนี้เปลี่ยนชีวิต

โชคชะตาหรืออะไรได้นำพาคุณปิงปองไปเจอวัดที่คนภายนอกมองว่าเสื่อม แต่คุณปิงปองกลับมองต่างจากคนอื่น เพราะรู้สึกว่าหากบวชในวัดนี้อาจจะได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ที่หาไม่ได้จากที่อื่น ซึ่งเมื่อตัดสินใจบวชที่วัดนี้ คุณปิงปองได้รับประสบกาณ์ที่จัดเต็ม เพราะขณะที่บวช มักจะมีภาพหลวงพี่ที่วัดทำอาบัติกันอย่างเต็มที่ให้เห็นบ่อยครั้ง แต่เมื่อได้พูดคุยกับหลวงน้าที่วัดนั้น ซึ่งได้บอกกับคุณปิงปองว่า

“ให้พวกเขาสึกไม่ได้หรอก สึกไปมันก็ตาย มันเลยทำให้เราคิดได้ว่า จริงว่ะ ระหว่างที่เด็กบวชในวัดนี้ อาจจะแอบฉันท์มื้อดึกบ้าง ตีกันบ้าง แต่ถ้าสึกออกไป เขาก็อาจจะกลายเป็นเด็กแว๊นนะ เขาอาจจะตายนะ แต่ถ้าอยู่ในวัด ตามความเชื่อของคนต่างจังหวัด วันมันมากกว่าศาสนา วัดมันคือจุดส่วนรวมชุมชน”

ภายใต้การบวชครั้งนั้นทำให้เห็นมิติอื่นที่ซ้อนทับเยอะมาก คุณปิงปองจึงรู้สึกว่าการมองเห็นอะไรบนโซเชียลเพียงครั้งเดียว ด้านเดียวอาจจะไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด เป็นเพียงเรื่องราวเพียงมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น จึงทำให้เริ่มเข้าใจคำว่า ‘คอนเทนต์’ และคุณปิงปองได้ก้าวเข้าสู่โลกคอนเทนต์ด้วยการเขียนหนังสือ

จากนั้นได้มีโอกาสถ่ายรายการแข่งขันร้องเพลง Stage Fighter ซึ่งครั้งนั้นเป็นรอบพิเศษที่เอาศิลปินยุคเก่ามาร้องเพลงแข่งกัน ซึ่งทุกคนรู้กันอยู่แล้วในเรื่องความไพเราะของเสียงคุณปิงปอง แต่จะทำอย่างไรให้รายการมันสนุกได้มากขึ้น คุณปิงปองจึงบิตสไตล์ร้องเพลงให้แตกต่างจากเดิม เพื่อเป็นคอนเทนต์ที่น่าสนใจให้ราบการ

“เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ทำให้เรารู้ตัวว่า เราสนใจโลกของการทำคอนเทนต์ แต่ตอนนั้นยังไม่มีเวลาที่จะทำตรงนี้สักที จนได้กลับมาเจอเหว่ง เทพลีลา หรือ Little Monster ที่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ประถม กลับมาคุยกัน ด้วยอะไรหลายๆ อย่างเหว่งเลยชวนมาทำงานด้วยกัน”

ในตอนแรกคุณปิงปองไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ แต่เมื่อได้เข้ามาอยู่ในโลกของ Content Creator จึงพบว่าเบื้องหลังการทำงานนั้นหนักกว่าที่คิด คอนเทนต์จะต้องอาศัยความสม่ำเสมอ ต้องตรงเวลา เรื่องความคิดสร้างสรรค์ก็ต้องคิดให้ออกและต้องทัน คุณปิงปองจึงไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่าเลยบอกกับคุณเหว่งว่า

“ถ้างั้นขอลองเป็นหุ้นส่วนแบบติดโปร 3 เดือนแบบพนักงานใหม่ จะได้รู้ว่าทำได้หรือไม่ได้ สรุปทำไปทำมาตอนนี้ผ่านมา 2 ปีกว่า”

ตอนช่วงที่ทำช่อง ‘POP มั้ย’ อยู่นั้น คุณเหว่งเดินมาบอกว่า “ปอง ไม่คิดจะลองสายมูบ้างหรอ คือเขาบอกว่าคำว่า POPมั้ย มันเหมือนเป็นคำถาม มันก็เลยไม่ POP สักที ลองเปลี่ยนชื่อดูไหม” ในขณะนั้นมีช่องอยู่อีกช่องหนึ่งที่บังเอิญมีเนื้อหาที่คล้ายกัน โดยไม่ได้นัดหมาย และมีโอกาสได้ช่วยเหลืองานมาตลอดจนรู้สึกถึงเคมีที่เข้ากันได้ จึงตัดสินใจรวมช่องกันกับช่อง ‘น้าหนวด’ จนสุดท้ายช่อง ‘Mass Music’ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นนั่นเอง

คิดว่าเราเองมีอิทธิพลทางความคิดกับคนดูหรือไม่ ?

“ผมคิดว่ามี แต่ไม่ 100% ผมยังมีความเชื่อแบบนี้อยู่ เพราะว่าเราเองเป็นหนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์ที่ค่อนข้างแสดงวิธีคิด หรือความคิดของเราต่อสังคม ค่อนข้างชัดเจนเสมอ และสิ่งที่เราได้กลับมาคือ เรามีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย”

ในยุคนี้ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นของตัวเองได้ และพูดออกมาได้ ทำให้เสียงจากอินฟลูฯ คนใดก็ตามเป็นเหมือนหนึ่งเสียงในสังคม เพียงแต่เป็นเสียงที่คนในสังคมได้ยินเยอะกว่าคนทั่วไปแค่ในส่วนหนึ่งเท่านั้น และคุณปิงปองเชื่อมั่นในคนปัจจุบันนี้มีทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งทุกคนก็ไม่ควรเชื่อในคำพูดของคนอื่นทันที หรือเห็นด้วยทันทีในทุกอย่างเช่นกัน

แล้วใครที่มีอิทธิพลทางความคิดกับเรา ?

คุณปิงปองเผยว่าผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิดของเขา คือ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย 

“ไม่ว่าทุกวันนี้เขาเหล่านั้นจะมีความคิดในมุมใดก็ตาม เราก็ได้เติบโตจากคนเหล่านี้ และเราไม่ปฏิเสธเลยว่าที่ทำเพลงเป็นทุกวันนี้ เพราะเราเคยอยู่ Exact เราได้เรียนรู้จากพี่ๆ และเรามีความคิดแบบนี้เพราะเราได้คุยกับเด็กวัยรุ่นเยอะ หลากหลาย Gen เราก็ยอมรับว่าเด็กวัยรุ่นมีอิทธิพลต่อเราเหมือนกัน ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่”

และเด็กวัยรุ่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลกับคุณปิงปอง เพราะบนโลกโซเชียลมันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากสำหรับคุณปิงปอง ซึ่งในบางทีทำให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทางสังคม เช่น วัฒนธรรมการไหว้ ที่ไม่ได้บ่งบอกความดีของใครคนใดคนหนึ่ง หรือการบูลลี่ที่มีหลากหลายรูปแบบในสังคม มันจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อความคิดของคุณปิงปองในปัจจุบัน ทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้น

ทิ้งท้ายก่อนจะจบการสัมภาษณ์คุณปิงปองบอกว่า

“เราหนี Toxic บนโซเชียลมีเดียไม่ได้”

อย่างที่เรารู้กันว่าพื้นที่ในโซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่มหาศาลของผู้คน ระบบอัลกอริทึมจะเลือกสุ่มให้ดูเราดูคอนเทนต์หรือสิ่งที่เราชอบ จึงอาจะทำให้เราเห็นอะไรๆ จากเพียงแค่มุมเดียว ทั้งที่จริงแล้วโลกไม่ได้มีแค่ด้านไม่ดี ยังมีด้านที่ดีอยู่ หากในอนาคตสำหรับการศึกษาสามารถเข้ามาช่วยเรื่องโซเชียลมีเดียได้ จะเป็นผลที่ดีต่อความคิดของคนในยุคต่อๆ ไป ให้ทุกคนได้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน เห็นภาพเดียวกัน รู้ถึงค่าเฉลี่ยที่เหมาะสมในการใช้โซเชียลมีเดีย ในเมื่อเราไม่สามารถเลี่ยงได้ ก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งนี้ให้ได้

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณมุมมองดีๆ จากคุณปิงปอง ศิรศักดิ์ หรือลุงปอง Mass Music อย่างมากที่นำพาพวกเราไปรู้จักเรื่องราวในมุมต่างๆ ทั้งจากประสบการณ์ชีวิต และแนวคิดต่อเรื่องในสังคม สนุกและเข้มข้นมาก สามารถ

สามารถติดตามได้ที่ Youtube Channel : Mass Music