จากนักแสดง สู่ Influencer สายกิน ที่กินอะไรก็อร่อย
คุณมาวิน ทวีพล จากนักแสดง สู่ Influencer สายกิน ที่กินอะไรก็อร่อย
Introduction
- เมื่อภาพอนาคตในวงการไม่แน่นอน จากนักแสดง จึงเปลี่ยนเป็น Influencer สายกิน
- ตามหาขุมทรัพย์ รีวิวร้านอาหารธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จัก เพราะนั้นอาจเปลี่ยนชีวิตใครบางคน
- อิทธิพลทางโซเชียลมีเดียมมีทั้งบวก และลบเสมอ แต่อยู่ที่เราจะเลือกมุมมองไหน
เรื่องราวที่เรากำลังพูดถึงนี้ เป็นเรื่องราวของคุณมาวิน ทวีผล หรือที่เราคุ้นเคยกันดีในชื่อ ‘Mawinfinferrr’ Influencer สายกินดุ กินโชว์ ที่มีผู้ติดตามเกือบ 5 แสนคน ในเวลาไม่นาน การันตีด้วยรางวัลจากเวที Thailand Influencer Awards 2021
คุณมาวิน เปิดออฟฟิศต้อนรับชาว 9 Conversations ด้วยบรรยากาศสบายๆ นั่งพูดคุยอย่างเป็นกันเอง เปิดประเด็นถึงเส้นทางชีวิตการเป็นนักแสดง ที่นับว่าเป็นทั้งจุดเริ่มต้น และจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต ที่ทำให้เขากลายเป็น Influencer ที่ประสบความสำเร็จอย่างในทุกวันนี้
จากนักแสดง สู่ Influencer สายกิน ที่กินอะไรก็อร่อย
“ผมเป็นนักแสดงที่ตกงาน เหมือนผมอยู่มานาน แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไหร่ อันนี้ผมพูดแบบตรงๆ เลย ตอนนั้นไม่มีละครเล่นแล้ว ก็เลยมาช่วยภรรยา ซึ่งก็คือคุณตู่มาทำงานเบื้องหลังเต็มตัว”
“ด้วยค่าใช้จ่ายที่มี เงินเก็บก็เริ่มหาย วิถีชีวิตที่เคยฟู่ฟ่า ก็เริ่มเปลี่ยน… ถ้าอยู่แบบนี้ต่อไปอนาคตมองไม่เห็นแล้ว ผมต้องหาอย่างอื่นทำ”
เมื่อเห็นภาพอนาคตในวงการไม่แน่นอน คุณตู่จึงให้คำแนะนำ และสนับสนุนให้คุณมาวินก้าวเข้าสู่วงการ Influencer ด้วยการเปิดเพจขึ้นมา
“จุดเริ่มต้นของการทำเพจ เมื่อผมถนัดเรื่องกิน ชอบหาของกิน ชอบสตรีทฟู้ด แต่ผมจะทำยังไงให้คนมาดู? มันหาตัวตนไม่เจอ สุดท้ายเลยกลับมาที่ความเป็นตัวตนของตัวเองคือกินแล้วดูอร่อย ก็เลยใช้จุดนี้ เป็นจุดแข็งในการทำเพจขึ้นมา”
นอกจากเรื่องกินจะเป็นจุดแข็งของตัวคุณมาวิน ที่ชอบสรรหาของกิน โดยเฉพาะสตรีทฟู้ดอยู่แล้ว เรื่องกินยังมีจุดแข็งในฐานะช่วงเวลาที่ผูกยึดเข้ากับความสุขของทุกๆ คนอีกด้วย
“สมมติว่าคนๆ นึงเงินเดือนออก อาจจะกินอาหารมื้อดีๆ สักหนึ่งมื้อกับเพื่อน กับการซื้อของ 1 อย่าง ที่เฝ้าฝันว่าสิ้นเดือนเราจะซื้อ แต่ของเนี่ยบางทีเราซื้อมาดีใจวันเดียวก็ลืมแล้ว”
“แต่เรื่องกินเนี่ย คือมันเป็นเรื่องที่ติดอยู่ในตัวเราตลอดเวลา เป็นสิ่งที่คลายเคลียดได้ดีที่สุด เราซึมซับทุกอย่างได้จากการกิน”
ส่วนภาพที่เราเห็นจากในคลิปของคุณมาวิน ที่เรียกได้ว่าไม่ว่าจะพาไปกินอาหารประเภทไหน ไม่ว่าจะ ส้มตำ ยำ หรือก๋วยเตี๋ยวชามโตๆ ก็ดูอร่อยไปทั้งหมด ในจุดนี้คุณมาวินบอกกับเราว่า อาหารที่กินอร่อยอย่างที่เห็นจริงๆ ไม่ใช่การแสดง
“ผมกินแบบไหน ก็แสดงออกมาแบบนั้น ผมเป็นคนกินรสจัด รสเผ็ดแซ่บ ผมเป็นคนที่ดูตื่นตัว (Alert) อยู่ตลอด ก็แสดงออกมาแบบนั้น แล้วคนดูก็จะรับรู้ได้”
แต่ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ‘ความอร่อย’ เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล คำว่าอร่อยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบหวาน บางคนชอบเค็ม หรืออย่างคุณมาวินเป็นคนชอบกินเผ็ด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ติดตามเกือบ 5 แสนคนของคุณมาวินเข้าใจอยู่แล้ว ทำให้คุณมาวินไม่ค่อยเจอดราม่า หากมีคนตามรอยร้านที่คุณมาวินรีวิวแล้วรสชาติไม่ถูกปากอย่างที่คิด เพราะเข้าใจรสชาติที่คุณมาวินชอบอยู่แล้ว
“บางวันผมไปกินถึง 5 ร้าน แต่เอามาลงไม่ได้ ไม่ใช่ว่าร้านนั้นไม่อร่อย แต่มันแค่ไม่ถูกปากเรา ดังนั้นคนเขาจะเข้าใจรสชาติของผมดี ถ้าเขาตามไปกิน เขาจะรู้เลยว่ารสชาติที่จะได้รับ กับรสชาติที่เขาได้เห็น มันเหมือนกันแน่นอน จะไม่มีบอกว่าอร่อย แต่พอเอาเข้าปากไปกลายเป็นหวานจัง จะไม่มี”
นั่นหมายความว่า หลักการในการเลือกร้านมาถ่ายคลิปรีวิวของคุณมาวิน แน่นอนว่าความอร่อยต้องมาเป็นอันดับ 1 อย่างแน่นอน
ร้านรถเข็น ร้านในซอย ขุมทรัพย์ความอร่อยที่ตามหา
แต่อีกหลักการที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ความดังของร้าน ถ้าร้านไหนที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว คุณมาวินจะข้ามร้านเหล่านี้ไป แต่เลือกที่จะหันไปช่วยรีวิวร้านธรรมดาๆ ทั่วไป โดยเฉพาะร้านรถเข็น ร้านในตลาด ตามซอกซอยต่างๆ แทน
“ผมเลือกไปร้านที่ไม่มีโอกาส ร้านรถเข็น ร้านตามซอย อยู่ในตลาด หรือขายหน้าบ้าน อะไรแบบนี้ เพราะถ้าไม่มีอะไรไปจุดชนวน หรือสร้างกระแสให้เขา เขาก็จะอยู่แบบนั้น ทั้งที่เขาก็มีฝีมือในการทำอาหาร”
“คุณตู่เคยหาร้าน หมูปลาร้าแถวถนนพระราม 4 วันที่ผมไปเจอร้านเขา ต้องเข้าไปในซอย เป็นบ้านเล็กๆ มีตะแกรงอยู่หน้าบ้าน เขาค่อยๆ ปิ้งทีละไม้สองไม้ และเขาก็ไม่รู้ว่าผมคือใคร ผมก็บอกว่าขอนั่งกินที่ร้านได้ไหม เดี๋ยวรีวิวให้”
“พอกินเข้าปากคำแรก ผมบอกเขาเลยว่าให้ตั้งรับนะ ‘ผมจะทำให้ชีวิตพี่เปลี่ยน’ ปกติช่วงตี 3 ตี 4 เขาก็ยังขายอยู่ วันต่อมาหลังจากลงคลิปไป 2 ทุ่มก็ขายหมดแล้ว เขาต้องปรับวิธีการขายใหม่ ขยายเตาเพิ่ม ในเวลาแค่ 2 เดือน เขาเซ้งร้านได้เลย ทั้งที่อยู่ในช่วงโควิดด้วย”
หลังจากเลือกร้านที่จะไปถ่ายทำได้แล้ว ไม่ใช่การไปกิน ถ่ายคลิป แล้วอัพโหลดขึ้น YouTube แล้วจบ เพราะกว่าจะมาเป็นคลิปอร่อยๆ ที่เราเห็น ต้องผ่านการคิด และวางแผนนับไม่ถ้วน
“เวลากิน ผมต้องมองกล้อง ต้องจริงใจ ต้องกินให้เห็น คิดช็อตด้วยว่าจะกินแบบนี้ ตักขึ้นมายังไง เงยหน้ายังไง มีการคิดช็อตเยอะเหมือนกัน เพราะผมจะรู้ว่าเวลายกก๋วยเตี๋ยวขึ้นมา หรือวางลูกชิ้น วางตับไว้บนช้อนมันสวยแล้วหรือยัง มันเป็นงานละเอียด”
ยิ่งกว่าร้านลับ คือเมนูลับที่เจ้าของร้านทำให้ชิม
หลังจากคุยกันเรื่องกว่าจะเป็นคลิปชิมอาหารอร่อยๆ ให้เราได้เห็นกันจบแล้ว ในฐานะที่คุณมาวินมีประสบการณ์กินอาหารอร่อยๆ มานับไม่ถ้วน ทั้งร้านสตรีทฟู้ดริมทาง ไปจนถึงร้านอาหารเหลาสุดหรู แล้วคุณมาวิน เคยไปกิน ‘ร้านลับ’ แบบที่ชาวโซเชียลเขาพูดถึงกันหรือไม่
“บางครั้งผมก็ขำ มันลับตรงไหน ก็เดินเข้าไป ไม่ได้เข้าไปหลังครัวบ้านเค้า ผมว่ามันเป็นเทคนิคในการสื่อสารให้คนสนใจ ว่าร้านนี้คือที่สุด แต่ถ้าถามว่าลับจริงมั้ย มันก็แล้วแต่คน สำหรับผมร้านลับจริงๆ คือ ต้องเข้าไป 15 เลี้ยว หรือบางร้านต้องเข้าไปทางหลังบ้าน ถ้าไม่สนิทใจก็เข้าไปไม่ได้”
“สำหรับผม เป็น ‘เมนูลับ’ มากกว่า คือเมนูที่เชฟจะไม่ทำให้คนธรรมดากิน อย่างเวลาไปร้าน After Yum พี่แต๋งเขาทำเมนูที่ไม่ได้ทำขายมาให้ชิม พอเอาเข้าปากแล้วรสชาติมันซับซ้อน อย่างเวลากินอาหารผมจะวิเคราะห์ได้ว่า เขาเอาวัตถุดิบไปหมักกับอะไร หรือเอาไปทำอะไรก่อน”
“แต่พอกินอาหารของพี่แต๋งแล้ว ผมไม่รู้เลยว่าเขาเริ่มต้นตรงไหน มันจะมีความลับของมัน ผมว่ามันเป็นเมนูลับมากกว่า”
หลังจากที่คุยเรื่องการกินของอร่อยๆ นอกบ้านมามากพอสมควร เราจึงถามฝีมือการทำอาหารกินเองที่บ้านของคุณมาวินบ้าง เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศของการพูดคุยในวันนี้
คุณมาวินตอบคำถามนี้แทบจะทันทีหลังถามคำถามจบแบบไม่ต้องคิด
“ทำครับ อย่างที่บอกว่าผมเป็นคนกินจุ และตอนเด็กๆ ไม่ค่อยมีเงิน เริ่มทำผัดกะเพราเป็นตั้งแต่ ป.1-ป.2 แล้วก็กินพริกตั้งแต่เด็กๆ เลย เพราะพริกกับน้ำปลาราดข้าว รสชาติเค็มๆ เผ็ดๆ มันทำให้เจริญอาหาร ใส่หมู ใส่ไก่นิดเดียวก็กินได้แล้ว”
“ผมทำอาหารกินเองตอนไปทัศนศึกษากับที่โรงเรียนตอนเด็กๆ เพราะข้าวกล่องที่แจกกินไม่อิ่ม แล้วก็ไม่สามารถวิ่งแตกแถวไปซื้อข้าวได้อยู่แล้ว ก็ต้องเข้าครัว ผัดอะไรใส่กล่องไปกินเอง”
ผัดกะเพรา Comfort Food กินกี่ทีก็ไม่เบื่อ
ส่วนเมนูที่เรียกได้ว่าเป็น Comfort Food กินยังไงก็ไม่เบื่อ คุณมาวิน ยกให้ ‘ผัดกะเพรา’ เป็นที่หนึ่งในดวงใจ“ผัดกะเพรา ผมชอบใช้ใบกะเพราแดงในการผัด แล้วก็พริกกะเหรี่ยง หรือว่าพริกขี้หนูสวน เพราะมันจะทำให้หอมกว่า เผ็ดร้อนกว่าปกติ แล้วก็พริกต้องตำสดๆ ไม่ตำทิ้งไว้ เพราะสารความเผ็ดในพริกจะทำงานได้ดีที่สุดในช่วง 1 นาทีแรก
”ผัดกะเพราเป็นอาหารที่อยู่ยงคงกระพัน กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ ผัดใหม่ๆ ไข่ดาวเยิ้มๆ เจาะไข่หน่อย แล้วเอากะเพราไปโปะ ตาลอยเหมือนขึ้นสวรรค์เลย แค่พูดก็น้ำลายไหลอยากกินแล้ว”
กว่าจะมีคุณมาวินในวันนี้ ในวันที่เป็น Influencer สายกินเบอร์ต้นๆ ของประเทศ คุณมาวินย่อมได้รับอิทธิพลทางความคิดที่ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผลักดันให้คุณมาวินมาอยู่ในจุดๆ นี้ได้
ล้มละลาย มอบประสบการณ์อันล้ำค่าให้ชีวิต
เมื่อถามว่าอิทธิพลทางความคิดของคุณมาวิน คุณมาวินเล่าย้อนกลับไปถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตในวัยเด็ก ในวันที่ครอบครัวล้มละลาย ความทรงจำดีๆ ของคนที่คอยช่วยเหลือ ยังคงอยู่ในใจคุณมาวินมาจนถึงทุกวันนี้
“ที่บ้านล้มละลาย ไม่มีเงินกินข้าว ได้ค่าขนมแค่ 200 บาทของพี่กับพี่สาว ต้องทำกับข้าวกินเอง 3 มื้อ ต้องเอามาแบ่งพ่อด้วย แทบไม่ได้กินข้าวนอกบ้าน ได้กินแค่ข้าวผัดกะเพราร้านแถวโรงเรียนจานเดียวก็มีความสุขแล้ว”
“ที่จำได้ดีเลยคือ ร้านตรงข้ามบ้านที่ผมซื้อกินประจำในวันที่ยังมีเงิน พอวันที่ไม่มีเงินแล้ว ผมก็ไปยืนมอง เขาก็เรียกน้องวินมาๆ ผมก็บอกว่าผมไม่มีเงินนะ ขอเก็บเงินสักสองสามวันก่อนค่อยมากิน เขาบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวป้าทำให้กิน ผมเลยจำได้ว่า เราโตมาถ้ามีโอกาสจะช่วยเหลือคนพวกนี้ เพราะเขาเคยช่วยเราในวันที่เราไม่มีของดีๆ กิน แค่อาหารดีๆ มื้อเดียว แต่จำจนถึงทุกวันนี้ ไม่เคยลืมน้ำเสียงของป้า รสชาติอาหารที่กินในวันนั้น มันยังอร่อยที่สุดในใจเรา”
ความทรงจำในวัยเด็กที่ไม่เคยลืมนี้ ทำให้คุณมาวินตั้งใจที่จะใช้ความเป็น Influencer ของตัวเองช่วยเหลือร้านเล็กๆ ข้างทาง ร้านริมถนน และสตรีทฟู้ด จนบางร้านชีวิตเปลี่ยนไปเลยก็มี เซ้งร้าน ซื้อบ้าน ซื้อรถ ชีวิตดีขึ้นจากการค้าขาย
อิทธิพลทางความคิด ที่สะท้อนกลับถึงผู้ติดตาม
ในทางกลับกัน นอกจากคุณมาวินจะได้รับอิทธิพลทางความคิดจากบุคคลในความทรงจำในวัยเด็ก ในวันนี้คุณมาวินก็กลายเป็นอีกบุคคลที่ส่งต่ออิทธิพลทางความคิดถึงผู้อื่นเช่นกันผู้ติดตามบางคนส่งคลิปมาให้คุณมาวิน ว่าลูกๆ กินข้าวเก่งขึ้นหลังจากดูคลิปของคุณมาวิน ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย คุณมาวินก็เคยมีโอกาสวิดีโอคอลหาเพื่อให้กำลังใจในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต หรือผู้ป่วยคนอื่นๆ ที่ประสบปัญหาเรื่องการกิน ก็ได้คุณมาวินเป็นกำลังใจในการรักษา และกินอาหารได้อย่างอร่อยยิ่งขึ้นจากการดูคลิปของคุณมาวิน
“ผมมีความสุขมากกับการทำสิ่งเล็กๆ ตรงนี้ แต่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในใจหลายๆ คน ทุกๆ วันจะมีเรื่องเครียดๆ เข้ามาเสมอ แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมมีแรงสู่ต่อไปได้ คนส่งคลิปเด็กๆ กินข้าวตาม ให้กำลังใจในสิ่งที่ผมทำ ผมก็มีกำลังใจต่อไป ไม่ใช่ผมมีอิทธิพลกับเค้า แต่คนพวกนี้ก็มีอิทธิพลกับผม ไม่งั้นผมจะไม่มีแรงตื่นขึ้นมาทำงานแบบนี้หรอก”
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันในชีวิตของ Influencer คือการใช้ Social Media ที่นับว่าเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน แต่แน่นอนว่า Social Media มีทั้งด้านดี และด้านที่ไม่ดี ซึ่งกระทบต่อชีวิตของทุกคน
“มันมีทั้งบวกทั้งลบ เหรียญยังมีสองด้านเลย มันไม่มีทางทอดมาตรงกลางหรอก อยู่ที่มุมมองในการใช้ วิจารณญาณในการใช้มากกว่า”
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ Social Media ของ Influencer อย่างคุณมาวิน
“ความซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่ทำ เคารพสิทธิ์ และให้เกียรติผู้อื่น Social Media เป็นเครื่องมือที่มีอานุภาพมากที่สุด ยิ่งโควิดทำให้เทรนด์ทุกอย่างเข้ามาในโลกออนไลน์หมดเลย มันมีความจำเป็น และสำคัญมากๆ”
“พี่ต้องให้เกียรติในสิ่งที่ทำ ใช้ Social Media เพื่อเป็นตัวอย่างว่าเราใ้ช้ในทางที่ถูกต้อง ไม่ว่าใคร”
“ร้านไหนไม่อร่อย ไม่ถูกปากผม ไม่ใช่ว่ามันจะไม่อร่อย หรือไม่ถูกปากคนอื่น ดังนั้นผมจะลงแต่เรื่องดีๆ เท่านั้น ชื่นชมร้าน สนับสนุนร้าน ถ้าอะไรไม่ตรงจริตผม ก็ไม่ลง แต่จะไม่ไปว่าใคร เพราะไม่มีทางรู้เลยว่าเขามีหนี้สินไหม มีภาระความรับผิดชอบอะไร พ่อแม่เขาไม่สบายต้องดูแลหรือเปล่า ไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้เลย ดังนั้นผมจะไม่ว่าใคร”
“อย่าเอาลิ้นของเราคนเดียว ไปบอกว่าไม่อร่อย”
และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่เราได้คุยกับคุณมาวิน ทวีผล Influencer สายกิน เจ้าของช่อง Mawinfinferrr ที่ในวันนี้รับบทบาทเป็นทั้ง Influencer พ่วงกับการเป็นนักแสดง และพิธีกรมากความสามารถ ที่เปลี่ยน Passion จากการกินอะไรก็ดู ‘อร่อย’ เป็นพลังในการช่วยเหลือพ่อค้า แม่ค้า ร้านอาหารเล็กๆ ข้างทาง ให้ได้รับโอกาสดีๆ จากความช่วยเหลือเหมือนที่คุณมาวินเคยได้รับในวัยเด็ก และยังเก็บเป็นความทรงจำดีๆ จนถึงทุกวันนี้