นักเดินทางสาวสายลุย ที่แบกประสบการณ์ไว้ในเป้มามากกว่า 10 ปี
I Roam Alone นักเดินทางสาวสายลุย ที่แบกประสบการณ์ไว้ในเป้มามากกว่า 10 ปี
Introduction
- ก่อนจะเป็น “I Roam Alone“
- สถานที่ไหนที่อยากไปสักครั้งก่อนตาย
- หากวันหนึ่งไม่มีชื่อเสียงคิดว่าจะเป็นอย่างไร
เมื่อการเดินทางคนเดียวทำให้เราได้อะไรมากกว่าประสบการณ์ มากกว่าทักษะการใช้ชีวิต เพราะมันคือโอกาสที่เราจะได้เผชิญหน้ากับตัวเอง มุมมองความคิดของผู้หญิง Introvert ตัวเล็กหนึ่งคนที่ได้ลองออกเดินทางทั่วโลกมาเกือบ 10 ปี การเดินทางของเธอทำให้เธอได้พบเจอคลาสเรียนที่หาจากที่ไหนไม่ได้ และวันนี้เราจะพาทุกคนร่วมเดินทางเรียนรู้จากประสบกาณ์ของเธอคนนี้ไปพร้อมกันกับ ‘คุณมิ้นท์ I Roam Alone’
ก่อนจะเป็น “I Roam Alone“
ย้อนไปเมื่อเกือบสิบปีก่อน คุณมิ้นท์เธอเรียนจบจากด้านวรรณกรรมสเปน ซึ่งเธอบอกว่าเป็นวิชาที่จบมาแล้วยังไม่รู้ว่าต้องทำอาชีพอะไร จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการค้นหาตัวเอง ผ่านการลองทำในหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสมัครเรียนเชฟ เป็นไกด์ทัวร์นำเที่ยว สมัครเป็นนักข่าว เรียนฟิล์ม ปรึกษาหมอดู หรือแม้กระทั่งผันไปเป็นแม่ชี แต่ทั้งหมดนั้นยังไม่ใช่ทางของเธอ จนสุดท้ายได้เจอคนที่ทำให้เธอเกิดไอเดียอะไรบางอย่างขึ้น
เธอได้ไปเจอบล็อกของผู้ชายต่างชาติคนหนึ่ง ซึ่งเขาสอนเกี่ยวกับการทำให้การท่องเที่ยวกลายเป็นงานได้อย่างไร ตั้งแต่วิธีการโพสต์หรือสร้างโปรไฟล์ยังไง เพื่อจะทำให้เราได้รายได้จากการเที่ยว จึงเป็นจุดประกายไอเดียให้เธอตัดสินใจขอคุณแม่เพื่ออกเดินทางในระยะเวลา 1 ปี จนกลายเป็นที่รู้จักในฐานะ Youtuber ผู้หญิงที่ท่องเที่ยวคนเดียว
ใช้ระยะเวลาเพียง 2-3 เดือน อาชีพเริ่มเป็นจริง
เธอใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็เริ่มมีแบรนด์ติดต่อเข้ามาจนทำให้เธอมีรายได้ ซึ่งเธอได้บอกเคล็ดลับกับเราว่า “ตอนนั้นเรามองว่า ตลาดของเรามันขาดอะไรอยู่ แอบวิเคราะห์มาก่อนเริ่มทำคอนเทนต์ เราก็มองว่าผู้หญิงเดินทางคนเดียวยังไม่มีเลยในไทย มันมีแต่มันน้อยมาก และเรารู้สึกว่าเราน่าจะทำได้”
“เราจินตนาการว่าถ้าผู้หญิงเดินทางคนเดียว เราจะนึกถึงชาวต่างชาติ ที่เขาจะแบกเป้ใหญ่ ในขณะที่สาวเอเชียมันดูเป็นไปไม่ได้ เราเลยรู้สึกว่าช่องทางนี้ น่าจะเป็นจุดที่ทำให้คนสนใจ เป็นการเดินทางแบบผู้หญิงคนเดียว และเลือกไปสถานที่โหดๆ ที่คนไม่คิดว่าผู้หญิงจะไปได้ อาจจะเป็นสาเหตุทำให้คนรู้จัก”
ซึ่งสถานที่แรกที่เธอได้ไป คือ ทรานไซบีเรีย และต่อด้วยทริปไปนามีเบีย แอฟริกาใต้ ต่อด้วยทริปที่สาม ไปอยู่อเมริกาใต้นานถึง 8 เดือน พอเธอได้ลองออกเดินทางคนเดียวเป็นระยะเวลานานๆ แบบนี้จึงรู้สึกชอบมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายกลายเป็นความรักในการเดินทาง
“เราไม่ได้รู้ว่าเรารักอะไรขนาดนั้น เหมือนมันค่อยๆ โตขึ้นมาเรื่อยๆ ความรักของเรากับการเดินทาง มันค่อยๆมาด้วยกัน จนสุดท้ายมันค่อยรักขึ้นเรื่อยๆ”
“เหมือนถ้าได้ทำอะไรแล้วไปได้ดี มันก็จะเปลี่ยนจากความชอบเป็นความรัก”
“มิ้นท์ว่าไม่น่ามีใครที่ตื่นขึ้นมา แล้วบอกว่าฉันรักการเดินทาง มันอาจจะเป็นได้สำหรับเด็กๆ เพราะมันเป็นเหมือนความฝัน จนกว่าเราจะรู้จากการลงมือทำ ว่ามันจะเป็นยังไง เราจะไม่รู้เลยว่าเราชอบมันไหม จนกว่าเราจะได้ลอง ได้รู้จักกับมันจริงๆ”
การเดินทางได้ให้อะไรกับเราบ้าง
“มิ้นท์ว่าคำตอบของมิ้นท์น่าจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามช่วงอายุ เพราะก่อนหน้านี้รู้สึกว่า การเดินทางมันทำให้เราตัวเล็กลง รู้สึกว่าโลกใบนี้มันใหญ่จัง …อีกช่วงหนึ่ง มันทำให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น เพราะเราได้เห็นคนมากขึ้น”
แต่ ณ วันนี้คุณมิ้นท์เธอมองว่า “ทุกคนจะมีปัญหาคล้ายๆ กัน แสวงหาสิ่งคล้ายๆ กัน คือ ‘ความสุข’ เราต่างหนีความทุกข์เหมือนกัน มนุษย์เราเจอปัญหา มีความทุกข์ มีความเสียใจกับสิ่งคล้ายๆ กัน มนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้เหมือนอยู่บนเส้นทางเดียวกัน”
ซึ่งเธอเผยกับเราว่าพออายุเข้าเลขสาม เธอเริ่มสนใจด้านศาสนามากขึ้น ถือเป็นการเดินทางแบบใหม่ของเธอ ที่พยายามจะปรับสมดุลของพลังงานให้เข้ากับการใช้ชีวิตมากขึ้น สุดท้ายแล้วการเดินทางจะเข้ามามีส่วนในการใช้ชีวิตของเรามาก เพราะไม่ว่าเราจะไปเจออะไรมาจากสถานที่ที่เราไป เราจะได้บทเรียนหนึ่งที่จะสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตได้
การออกจาก Comfort Zone ความชอบส่วนตัวของคุณมิ้นท์
“เสน่ห์อย่างหนึ่งที่เราให้ความสำคัญเวลาเดินทาง คือ ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์แปลกหน้าที่มาเจอกัน”
อะไรที่ทำให้เราไม่ต้องอยู่บ้าน ออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง มันเป็นความชอบส่วนตัว จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นเธอเดินทางเที่ยวในต่างประเทศส่วนใหญ่ เพราะไม่มีใครที่รู้จักชื่อเสียงของเธอ และมันจะทำให้เธอค้นพบเสน่ห์บางอย่างจากการพูดคุยกับคนแปลกหน้า
ความกลัวที่เกิดขึ้นก่อนออกเดินทาง
“มันจะมีความกลัวนิดหน่อย ก่อนที่เราจะออกเดินอยู่แล้ว เพราะไปในที่ที่เราไม่รู้จัก”
ยิ่งช่วงแรกๆ ที่เดินทางคนเดียว ประสบการณ์น้อย จะมีความกลัวก่อนออกเดินทางบ้างเล็กน้อย ซึ่งก่อนจะออกเดินทางคุณมิ้นท์จะหาข้อมูลอย่างเต็มที่เกี่ยวกับสถานที่นั้นๆ วางแผนการเที่ยวไว้หลายๆ แผน เพื่อเตรียมตัวให้ได้มากที่สุด
“แต่ไม่ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร เราก็จะสามารถเก็บเรื่องราวมาเล่าต่อได้ และเราก็จะยังสามารถสนุกกับมันได้อยู่ดี หรือต่อให้เราไปแล้วทุกข์กับมัน แต่พอกลับมานึกย้อนกลับไป เราก็คงได้เรียนรู้อะไรอยู่ดี”
เธอเสริมต่อว่าการที่ความกลัวเกิดขึ้นก่อนที่จะออกเดินทาง มันเกิดจากความ ‘ไม่ไว้ใจกัน’ ไม่ไว้ใจว่ามนุษย์อีกคนจะคิดอะไรกับเรา จะเจอขโมยหรือเปล่า จะถูกหลอกหรือเปล่า แต่พอได้ผ่านการเดินทางมานับไม่ถ้วนทั่วโลก
คุณมิ้นท์บอกว่า “โลกมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น เรารู้สึกไว้ใจโลกมากขึ้น” อาจจะเพราะหลายๆ คนได้เห็นสื่อที่มักจะลงข่าวที่พาดหัวข่าวแรงๆ เกี่ยวกับบางประเทศเพื่อให้ดูน่ากลัว ดึงดูดให้คนอ่าน แต่นั้นมันไม่ใช่ทั้งหมด “เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราเห็นว่ามันไม่ดี มันก็มีอยู่แค่นั้นแหละ แต่สิ่งที่ดียังมีอีกเยอะอยู่ข้างนอก”
สถานที่ไหนที่อยากลองไปสักครั้งก่อนตาย
“ไม่มีเลยค่ะ” เป็นคำตอบที่เซอร์ไพร์สมากจากคุณมิ้นท์ แต่นั้นเพราะว่าคุณมิ้นท์เองได้ไปในสถานที่ที่เธออยากไปมาหมดแล้ว เพราะเมื่อเธอรู้สึกว่าอยากจะไปที่ไหน จะไม่รีรอเวลา ซึ่งตลอดสิบปีที่เดินทางมา เธอได้ไปมาหมดแล้ว และเธอบอกว่า ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องตาย สถานที่ที่อยากไปมากที่สุดคงจะเป็น ‘บ้าน’ สถานที่ Comfort Zone สุดคลาสสิกที่อยู่กับคุณมิ้นท์มาตลอด
ภาคต่อของ I Roam Alone ที่ไม่ Alone อีกต่อไป
คุณมิ้นท์เองเธอผ่านความรักมากหลายครั้ง จนทำให้รู้ว่า Core Value เป็นสิ่งสำคัญ ณ วันนี้ในวัยที่เธอ 35 ปีแล้ว และกับคุณโจ ชายหนุ่มที่เข้ามาเป็น Partner ในชีวิตเธอ ซึ่งทั้งคู่ได้มีโอกาสได้ลองลำบากและเรียนรู้ซึ่งกันและกันผ่านการเดินทาง เธอบอกว่าคุณโจเป็นที่มอบความเข้าใจ และมีความอดทนสูงมาก จึงทำให้สามารถเข้ากันได้ดีกับคุณมิ้นท์ อีกทั้งยังให้ความสำคัญและมองอนาคตให้ทิศทางเดียวกัน
“เราจินตนาการมาตลอด ว่าวันหนึ่งอยากมีลูก พาลูกและครอบครัวไปเที่ยว เรามีภาพนี้ในหัวมาตลอด อยู่ที่ว่าจะทำให้เป็นจริงได้เมื่อไหร่ ตอนนี้ก็เหมือนใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ” อนาคตของช่องก็จะไปในทิศทางของครอบครัวมากขึ้น ซึ่งต่อให้การเดินทางนั้นจะเป็นสถานที่ที่เธอเคยไปมาแล้ว แต่การได้กลับไปเที่ยวพร้อมครอบครัว คงทำให้เธอได้รับประสบการณ์ดีๆ รูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนเคย
‘คุณแม่’ อีกหนึ่งคนสำคัญในครอบครัว
แม่ของคุณมิ้นท์ เป็นคนที่ทำให้เธอกลายเป็นเธออย่างทุกวันนี้ ซึ่งโดยปกติแล้วคุณแม่เธอจะเป็นคนเล่าเรื่องสนุก สามารถเล่าเรื่อง ราวกับว่าเราได้เข้าไปอยู่ในสถานที่นั้นจริงๆ นอกจากนั้นคุฯแม่เป็นคนทำให้เธอ ‘ชอบอ่านหนังสือ’ เพราะในช่วงเวลาปิดเทอม เธอและแม่จะจูงมือกันเข้าร้านหนังสือ และใช้เวลาอยู่ในไปกับการอยู่คนเดียวและอ่านหนังสือทั้งวัน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าคุณมิ้นท์ถึงได้เล่าเรื่องการเดินทางของเธอได้สนุก จนใครหลายคนอยากติดตาม
นิสัยของคุณแม่ ที่เราจะพยายามทำให้ได้
คุณแม่ของคุณมิ้นท์เป็นคนที่ ‘ปล่อยลูกอย่างมีเหตุผล’ และ ‘เขายอมที่จะกังวล เพื่อให้ลูกได้ออกไปทำ ในสิ่งที่ลูกต้องการ’
ทั้งๆ ที่คุณมิ้นท์เป็นลูกผู้หญิงคนเดียว ในตอนแรกที่เธอจะออกเดินทางคนเดียว คุณแม่ของเธอจะบอกว่า ‘ไม่’ ก็ได้ เพื่อให้ท่านสบายใจ แต่ท่านกลับยอมนอนไม่หลับ ยอมทน เพื่อให้ลูกได้ลองออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง “มิ้นท์ว่ามันยากมากกับการให้อิสระ กับคนที่เรารัก” แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เธอจะพยายามมอบให้กับลูกของตัวเองให้ได้
ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้ คิดว่าจะเป็นอย่างไร?
คุณมิ้นท์เธอตอบว่า “มิ้นท์เริ่มวางแผนเกษียณไว้กับตัวเองประมาณหนึ่ง ณ ตอนนี้สิ่งที่อยู่ทำอยู่ เพราะยังรู้สึกที่ได้ทำมัน” เป็นช่วงเวลาที่กำลังปรับสมดุลในการใช้ชีวิต ถ้าวันไหนเรารู้สึกเหนื่อยมากเกินไป เราก็อาจจะพอ พลังการทำงานในตอนนี้ไม่ได้มีเหมือนเมื่อก่อน เธอมีสิ่งอื่นที่รู้สึกสำคัญกว่า คือ ‘ครอบครัว’
“คิดว่าพอเราจบไป มันคงมีเส้นทางอื่นๆ เปิดขึ้นมาเพิ่มอีก เพราะมันก็เป็นแบบนี้เสมอ”
“มันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของโอกาสอื่นๆ ด้วยซ้ำ”
โอกาสที่ทำให้เรามีเวลากับที่บ้านมากขึ้น หรือมีโอกาสมีเวลาได้ไปทำอย่างอื่นที่เราอยากทำ เปิดโอกาสให้เราได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ตราบใดที่เรายังคอยมองหาโอกาสอยู่เสมอ และเรายังมีความสามารถ เชื่อว่าคนเราจะยังสามารถก้าวต่อไปได้เรื่อยๆ เพียงแต่เป็นเส้นทางใหม่ของชีวิตเท่านั้นเอง
ความรู้สึกตอนได้รับรางวัล Thailand Influencer Awards
ความรู้สึกตอนได้รับรางวัล “คิดว่าเราคงทำอะไรถูกสักอย่างถึงได้รับรางวัล จากสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราทำแบบเพี้ยนๆ ในแบบของเรา ทำให้รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับรางวัล มันคงบอกไม่ได้ว่างานเราดี 100% แต่อย่างน้อยก็ต้องมากกว่า 50% ล่ะมั้ง”
ฝากอะไรถึงใครที่กำลังจะออกเดินทางคนเดียว
“อยากให้ออกไปลอง” สำหรับคุณมิ้นท์เธอมองว่า การเดินทางคนเดียวนอกจากเราได้ประสบการณ์อื่นๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ทักษะการดูแลตัวเอง ทักษะการเอาตัวรอด หรือทักษะอื่นๆ
อีกอย่างที่ได้คือ “ทำให้เราไม่สามารถหนีการคุยกับตัวเองได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก” การใช้ชีวิตปกติทุกคนมักจะมีข้ออ้างในการเผชิญหน้ากับตัวเอง พอเราเดินทางคนเดียว เราจะได้ทบทวนตัวเองเยอะมาก ว่าที่ผ่านมาเราทำอะไรอยู่ ณ วันนี้เป็นอย่างไร อนาคตเราต้องการอะไร และอะไรที่ทำให้เรามีความสุข มันจะทำให้เราเจอคำตอบของเราเอง
และเราขอทิ้งท้ายด้วยการให้คุณมิ้นท์ได้อวยพรให้ตัวเอง เธอบอกว่า “‘ขอให้หาบาลานซ์ในชีวิตให้เจอ และมีความสามารถในการที่จะเอ็นจอยกับปัจจุบันได้มากขึ้น” เป็นคำอวยพรสั้นๆ ที่คุณมิ้นท์อยากอวยพรให้ตัวเองในตอนนี้ และเราก็เชื่อว่าเธอจะได้สามารถทำสิ่งนั้นได้ในที่สุด สำหรับใครที่อ่านมาถึงตอนนี้ หวังว่าจะได้รับแง่คิดบางอย่างจากการเดินทางของ ‘คุณมิ้นท์ I Roam Alone’ ไม่มากก็น้อย แต่อย่างที่เธอว่า เราจะไม่มีทางได้รู้เลย จนกว่าเราจะได้ลองทำมัน แล้วคุณพร้อมที่จะลองทำมันแล้วหรือยัง?