กฎหมาย PDPA ตกเป็นประเด็นพูดถึงบนโซเชียลมีเดียอีกครั้ง หลังมีคลิปไวรัลคู่ชาย – หญิงที่ไปชมงานคอนเสิร์ตใหญ่ แล้วถูกถ่าย Kiss Cam โดยไม่ได้ตั้งใจ จนสร้างความเสียหายถึงชีวิตส่วนตัว
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาฯ แต่ก็ทำให้คนไทยตั้งคำถามว่า “แล้วถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ประเทศไทยล่ะ?” ทีมงานจะถือว่าผิดกฎหมาย PDPA ไหม ลามไปจนถึงคำถามที่ว่า ขอบเขตในการถ่ายภาพติดคนอื่นในที่สาธารณะเป็นอย่างไร และครีเอเตอร์ที่ออกถือกล้องถ่ายคอนเทนต์ตามสถานที่ต่าง ๆ ต้องระมัดระวังเรื่องนี้อย่างไร
มาไขทุกข้อสงสัยไปพร้อม ๆ กัน!

Recap: กฎหมาย PDPA คืออะไร?
PDPA ย่อมาจาก Personal Data Protection Act หมายถึง พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการรวบรวม จัดเก็บ เผยแพร่ ข้อมูลส่วนบุคคลของทุกคน โดยที่เจ้าของข้อมูลไม่ทราบ และไม่ได้ให้ความยินยอม พระราชบัญญัติฉบับนี้มีต้นแบบมาจาก GDPR (General Data Protection Regulation) ของสหภาพยุโรป และเพิ่งจะบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบไปเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565
4 ใจความสำคัญของ PDPA
- ก่อนจัดเก็บ รวบรวม หรือนำข้อมูลส่วนบุคคลของใครไปใช้ ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเสียก่อน
- เมื่อได้รับความยินยอมแล้ว การนำไปใช้ ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้เท่านั้น
- เจ้าของข้อมูลมีสิทธิ์เพิกถอนความยินยอมได้ตลอดเวลา
- ผู้ที่เก็บรวบรวมข้อมูลไป จะต้องรักษาความปลอดภัยของข้อมูลนั้น ๆ ด้วย
อะไรบ้างที่ถือว่าเป็น “ข้อมูลส่วนบุคคล”
ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร.) ระบุว่า ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) คือข้อมูลอะไรก็ตามที่ยืนยันตัวบุคคลได้ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม อาทิ ชื่อ – นามสกุล เลขประจำจัวประชาชน / Passport ที่อยู่ อีเมล เบอร์โทรศัพท์ วันเกิด ภูมิลำเนา เชื้อชาติ สัญชาติ ข้อมูลการศึกษา ข้อมูลทางการเงิน รวมไปถึงข้อมูลอ่อนไหวอย่าง ศาสนา ความเชื่อ ความคิดเห็นทางการเมือง หลักฐานทางพันธุกรรม ฯลฯ
และแน่นอนว่า รูปภาพ / วิดีโอ / เสียงบันทึก ก็จัดเป็นข้อมูลส่วนบุคคลด้วย เพราะสามารถนำไปใช้ระบุตัวบุคคลได้

ถ่ายติด ผิดไหม?: ครีเอเตอร์ไปถ่ายงานนอกสถานที่ แล้วเผลอติดถ่ายใบหน้าคนอื่น
คำตอบคือ: มีสิทธิ์ถูกตัดสินว่าละเมิดกฎหมาย PDPA
อันที่จริงแล้ว หากเป็นบุคคลธรรมดา เดินทางไปตาม Public Space หรือ Public Event ต่าง ๆ ซึ่งรู้กันดีว่ามีคนพลุกพล่าน ยากแก่การควบคุมความเป็นส่วนตัว เช่น ร้านอาหาร คอนเสิร์ต สวนสาธารณะ งานหนังสือ งานสัตว์เลี้ยง นิทรรศการศิลปะ ฯลฯ และได้ถ่ายภาพ / วิดีโอเก็บไว้เพื่อบันทึกความทรงจำ หรือโพสต์บนโซเชียลมีเดียของตัวเอง จะได้รับการยกเว้นไว้ ไม่ถือว่าละเมิดกฎหมาย PDPA
ตามกฎหมาย PDPA มาตรา 4 ใจความว่า “พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่ (๑) การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่ทำการเก็บรวบรวมข้อมูล ส่วนบุคคลเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือเพื่อกิจกรรมในครอบครัวของบุคคลนั้นเท่านั้น”
นั่นเพราะไม่ได้คาดหวังผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ (Commercial Use) ในทางกลับกัน การถ่ายภาพ / วิดีโอ และโพสต์บนโซเชียลมีเดียของครีเอเตอร์ (ที่ไม่ใช่ช่องส่วนตัว แต่เป็นช่องหลักที่มีไว้ถ่ายงาน) ถือเป็นการสร้างรายได้ สามารถ Tie – in หรือปักตะกร้าขายสินค้าได้ ยอด Engagement บนแพลตฟอร์มก็เปลี่ยนเป็นกำไร
ถ้ามีถ่ายงานนอกสถานที่ ครีเอเตอร์ควรทำอย่างไร?
ดังนั้น หากครีเอเตอร์ทราบอยู่แล้วว่า การไปถ่ายทำนอกสถานที่ครั้งนั้น ๆ จะต้องมีบุคคลอื่นปรากฏตัวด้วย เช่น ไปทำคอนเทนต์ที่ร้านอาหาร และอาจถ่ายติดหน้าเชฟ พนักงานบริการ หรือแขกโต๊ะอื่น ควรเลี่ยงการแพนกล้องจับหน้าบุคคลอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ให้ขอความยินยอมจากบุคคลนั้น ๆ เสียก่อน
ตัวอย่างครีเอเตอร์ที่ปฏิบัติได้ถูกต้องตามหลัก PDPA มีอยู่หลายคน เช่น ครีเอเตอร์สายท่องเที่ยวอย่างคุณบาส Go Went Go ที่เบลอภาพใบหน้าบุคคลอื่น หรือคุณจูนจากช่อง จูนพากิน ที่มักหลีกเลี่ยงกันตั้งกล้องมุมถ่ายหน้าร้าน ไปเป็นหลังร้านแทน เพื่อระวังไม่ให้ละเมิดสิทธิ์คนในร้าน เป็นต้น

ไม่ใช่แค่ ‘ใบหน้า’ แต่ต้องระวัง “แพนกล้องติดข้อมูลสำคัญ” ด้วย!
งานของครีเอเตอร์สมัยนี้สามารถทำได้ไวขึ้น และใช้อุปกรณ์ได้หลากหลายมากขึ้น ระยะเวลาในการเตรียมการที่ลดทอนลงไปในส่วนนี้ อาจทำให้เกิดความหละหลวมในการระมัดระวังเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ถ่ายคอนเทนต์ด้วยกล้องสมาร์ทโฟน แล้วเผลอไปจับทะเบียนรถ เอกสารสำคัญ นามบัตร หน้าปกหนังสือที่มีชื่อ – สกุล หรือหน้าจอสมาร์ทโฟนของบุคคลอื่น โดยไม่ได้ตั้งใจ
ครีเอเตอร์ต้องตระหนักในจุดนี้ เพราะแม้คุณจะระวังไม่ให้ถ่ายติดใบหน้ามากแค่ไหน แต่ ‘ข้อมูลส่วนบุคคล’ ที่เข้าข่ายคุ้มครอง ไม่ได้มีแต่หน้าและเสียงเท่านั้น
ระวังยิ่งยวด! กลุ่มอ่อนไหว ที่ไม่ควรถ่ายติดใบหน้าโดยเด็ดขาด
ครีเอเตอร์หลายคนมีเจตนาที่น่ายกย่อง มุ่งทำคอนเทนต์สะท้อนสังคม อยากฉายภาพความจริงที่เกิดขึ้นให้โลกภายนอกได้รับรู้ผ่านสื่อในมือตัวเอง
แต่คุณต้องไม่ลืมว่า หลาย ๆ ภาพเมื่อเผยแพร่ออกไป อาจส่งผลเสียต่อเจ้าของภาพมากกว่าที่คุณคาด เช่น ภาพของเด็กทารก เด็กที่มีภาวะทุพพลภาพ เด็กกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เด็กกับสิ่งเสพติด หรือภาพคนทุพพลภาพ ป่วยทางจิต ประสบอุบัติเหตุ ถูกจำคุก หรือกำลังรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาล
หากจำเป็นต้องทำคอนเทนต์เหล่านี้จริง ๆ ครีเอเตอร์ควรยื่นหนังสือขออนุญาตอย่างเป็นทางการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเบลอภาพกลุ่มอ่อนไหวและบุคคลใกล้ชิดจนไม่สามารถระบุตัวตนได้

แล้วถ้าทำคอนเทนต์รายงานข่าว แบบสื่อมวลชน ถ่ายติดคนได้ไหม?
หลายคนอาจสงสัยว่า เวลาเปิดชมข่าวทางโทรทัศน์ เห็นผู้สื่อข่าวออกรายงานนอกสถานที่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องกังวลกับการถ่ายภาพติดใบหน้าคนอื่น นอกจากนี้ สื่อมวลชนจำนวนมาก ยังได้รับอนุญาตให้ลงสนามทำข่าวใน ‘พื้นที่อ่อนไหว’ เช่น เวทีปราศรัยทางการเมือง หน้าศาล หรือรายงานสดอุบัติเหตุต่าง ๆ อีกด้วย
คำตอบคือ กฎหมาย PDPA ไม่ได้บังคับใช้กับงานสื่อมวลชน ตามมาตรา 4 ใจความว่า “พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่ (๓) บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ทำการเก็บรวบรวมไว้เฉพาะ เพื่อกิจการสื่อมวลชน งานศิลปกรรม หรืองานวรรณกรรมอันเป็นไปตามจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ หรือเป็นประโยชน์สาธารณะเท่านั้น”
อย่างไรก็ดี ข้อยกเว้นนี้มีผลเฉพาะกับ “สื่อมวลชนที่มีสังกัด และได้รับความคุ้มครองจากสมาคมวิชาชีพเท่านั้น”
สื่อชุมชน หรือสื่อพลเมืองที่ไม่มีสังกัด รวมทั้ง ครีเอเตอร์สายข่าว ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพสื่อมวลชนจริง ๆ ไม่ได้เข้าข่ายยกเว้นด้วย จึงไม่สามารถทำคอนเทนต์รายงานข่าว ครอบคลุมทุกสถานการณ์เหมือนอย่างสื่อมวลชนได้
สรุปชัด! ถ่ายคอนเทนต์นอกสถานที่ ครีเอเตอร์ควรทำอะไรบ้าง?
เพื่อป้องกันการละเมิดกฎหมาย PDPA ครีเอเตอร์มืออาชีพควรเตรียมการดังนี้
- คิดคอนเทนต์ วาง Storyboard ก่อนถ่ายทำให้ชัด และลิสต์สถานที่ที่จำเป็นต้องไปถ่ายทำ
- ทำจดหมายขออนุญาตถ่ายทำ ระบุวัตถุประสงค์ เนื้อหาคอนเทนต์ ชื่อคอนเทนต์ ระยะเวลาที่จะโพสต์ลงแพลตฟอร์ม ระบุให้ชัดว่าจะนำภาพที่ถ่ายทำไปใช้ทำอะไรบ้าง และขอความยินยอมด้าน PDPA จากเจ้าของสถานที่ให้ครบถ้วน
- สำรวจสถานที่ก่อนถ่ายทำ ว่ามีจุดไหนที่ไม่ควรแพนกล้องไปหาบ้าง
- ขณะถ่ายทำ พยายามแพนกล้องลงต่ำช่วงที่มีผู้คนหนาแน่น หรือถ้าจำเป็นต้องถ่ายติดใบหน้าใครจริง ๆ ให้เอ่ยขออนุญาตก่อน
- หากเป็นคอนเทนต์ในลักษณะวิดีโอ และต้องผ่านขั้นตอนการตัดต่อ อย่าลืมดูความเรียบร้อยอีกครั้ง และลบบางช่วงที่สุ่มเสี่ยง หรือเบลอใบหน้าคนเท่าที่จะทำได้
References:
Futures of Content Creator in Thailand 2035
โดย Tellscore, Thailand Institute for Mental Health Sustainability (TIMS) และ FutureTales LAB
พระราชบัญญัติ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒
โดย สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
FAQ เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
โดย สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร.)