ภัยพิบัติที่ใหญ่กว่า! เมื่อ Fake News กลายเป็นภัยคุกคาม ฉวยโอกาสเรียก Engagement จากความกลัว

“แจ้งสถานการณ์ฉุกเฉินพนักงานท…http://evb.gg/XXXXXXXXXXXXXXX”

แรงสั่นจากแผ่นดินไหวเมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม สะเทือนทั้งอาคารสูงและจิตใจของคนไทยที่ไม่คุ้นชินกับแผ่นดินไหว ตลกร้ายที่ความกังวลนั้นยังไม่ทันจางหายไป ก็มีมิตร (มิจ) คนใหม่พยายามสวมรอยเป็นผู้บรรเทาสาธารณภัย

การสังเกตลิงก์ประหลาด และรูปประโยคไม่จบความ อาจไม่ยากนักสำหรับคนที่ใช้สมาร์ทโฟนเป็นประจำ แต่เมื่อตระหนักว่ายังมีคนโดนหลอกอยู่ทุกวัน การช่วงชิงโอกาสจากสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ก็ไม่ควรจะกลายเป็นเรื่องปกติ

แต่เชื่อหรือไม่? นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้บรรเทาสาธารณภัยจอมปลอมออกปฏิบัติการ และบางครั้งพวกเขาก็สร้างสิ่งที่สะเทือนคนจำนวนมากได้เร็วกว่าอย่างการปล่อยข่าวปลอม (Fake News)

และเราหวังว่าบทความนี้ จะช่วยให้คุณไม่ตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป


Cr: Anti Fake News Center Thailand


แม้จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวในครั้งนี้จะอยู่ที่ประเทศพม่า แต่ความรุนแรงกว่า 8.2 ริกเตอร์ก็ส่งแรงสั่นสะเทือนเกือบทุกภาคของประเทศไทย ซ้ำร้ายนอกจากคอนโดและอาคารสำนักงานเสียหาย ยังมีอุบัติภัยตึกถล่มที่เพิ่มความหวาดกลัวให้กับประชาชน 

“เมื่อสังคมเกิดความไม่มั่นคงจากภัยพิบัติ ข้อมูลเท็จก็จะ ‘อุบัติ’ ขึ้น” – ศาสตราจารย์คิมูระ เรโอะ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเฮียวโก (NHK, 2024) ให้ความเห็นหลังวิจัยรูปแบบข่าวปลอมระหว่างการเกิดภัยพิบัติ แน่นอนว่าวิกฤตข่าวปลอมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยยืนยันคำกล่าวนั้นได้เป็นอย่างดี

มิจฉาชีพฉวยโอกาสทองจากความกังวลของประชาชนที่ไม่ได้รับ SMS แจ้งเตือนแผ่นดินไหวจากภาครัฐ ส่งออก SMS ลิงก์ข่าวปลอมที่มีรูปแบบสุดแสนจากธรรมดา หวังให้คนเข้าใจผิดว่าเป็น SMS จากภาครัฐ และคลิกลิงก์ปลอม

ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่สังคมทราบว่าสาเหตุแผ่นดินไหวมาจากการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อนสะกาย ข่าวปลอมว่าอีก 50 ปี รอยเลื่อนนี้จะขยับจนประเทศไทยเกิดแผ่นดินไหวอีกครั้งก็แพร่กระจายทันที บางข่าวเล่นกับ ‘ความเร่งด่วน’ หนักกว่า ถึงกับยืนยันแน่ชัดว่าแผ่นดินจะไหวในอีก 3 เดือนก็มี (Anti-fake News Center, 2025)

อะไรก็ได้ที่แพร่กระจายแล้วคนยิ่งกลัว…ยิ่งโกลาหล ใครบางคน (หรือหลายคน) ก็ยิ่งพึงพอใจ

สถิติของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti Fake News Center: AFNC) รายงานว่า ตั้งแต่ปลายปี 2019 – เดือนมีนาคม 2025 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้คัดกรองข้อความแล้วทั้งสิ้น 1,172,694,555 ข้อความ และพบว่ามีข้อความที่เข้าเกณฑ์ตรวจสอบถึง 74,892 ข้อความ

แน่นอนว่านั่นไม่ใช่จำนวนข่าวปลอมทั้งหมดในประเทศไทย แต่ก็แสดงให้เห็นว่าข้อความที่เผยแพร่อยู่บนหน้าจอมือถือของคนไทย “เสี่ยงเป็นข่าวปลอมมากแค่ไหน”

ที่น่าสนใจคือประเทศอื่นก็เจอปัญหานี้เช่นเดียวกัน…


Cr: legalaidnc


ปลายปี 2024 ที่ผ่านมา หลังเฮอริเคนเฮเลนและมิลตันพัดขึ้นฝั่งถล่มรัฐฟลอริดา เซาท์แคโรไลนา นอร์ทแคโรไลนา และจอร์เจีย อเมริกาต้องเจอกับวิกฤตข่าวปลอมครั้งใหญ่ เพราะมีมือดีแชร์ข้อความบน X ว่า “หน่วยบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินของรัฐบาลกลางขัดขวางการบริจาคเงินให้กับเหยื่อของเฮอริเคน และสินค้าบริจาคต่าง ๆ ก็ถูกภาครัฐยึดไว้ ” (Brookings, 2024)

ประเทศที่เจอกับภัยพิบัติเป็นประจำอย่างญี่ปุ่นก็วุ่นไม่แพ้กัน เมื่อผู้ (ไม่) หวังดีจุดประเด็นข่าวบน X ว่าญี่ปุ่นบางพื้นที่ฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมใหญ่ พร้อมแนบรูปความเสียหายที่คัดลอกมาจากสื่อต่าง ๆ ให้ผู้คนหวาดผวากันมากขึ้นอีก (NHK, 2024)

แต่วิกฤตของทั้ง 2 ประเทศนี้ยังต้องพ่ายให้กับอินโดนีเซีย (FRANCE 24, 2018) ที่มีมิจฉาชีพนำภาพเหตุการณ์คลื่นสึนามิเมื่อปี 2004 ไปสร้างข่าวปลอมบน Facebook ว่ากำลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตคนกว่า 1,400 ราย ซ้ำยังเพิ่มแรงจูงใจในการ ‘ส่งต่อ’ ด้วยประโยคเด็ด

“แชร์ต่อไป…แล้วคุณจะรอดจากภัยพิบัติ”

เพราะต้องเอาตัวรอดจากสถานการณ์เช่นนี้มานาน ทำให้เราพอคาดการณ์กันได้ว่ามิจฉาชีพจะเผยแพร่ข่าวปลอมไปเพื่ออะไร…

Engagement, ลิงก์หลอกดูดทรัพย์, หรือฉวยโอกาสเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ได้ยากเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ แต่บ่อยครั้งสื่อมวลชนก็ ‘พลาด’ กระจายข่าวปลอมด้วยมือตนเอง ทำให้ความเชื่อมั่นต่อสื่อกระแสหลักเริ่มเหือดแห้งไป


Cr: K9


ราว 1 สัปดาห์ หลังสุนัข K9 จากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมปฏิบัติการค้นหาผู้รอดชีวิตจากเหตุตึกสตง. ถล่ม เกิดกระแสผู้คนแชร์ภาพจากเพจข่าวของสื่อหลักกันเป็นวงกว้าง ว่าทีมหน้างานมีแผนจะส่งสุนัข k9 โรยตัวลงไปในโพรงสูง ค้นหาผู้รอดชีวิต ร้อนถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องออกมาแถลง ดับความกังวลของประชาชน (Thairath, 2025)

แน่นอนว่าการแนบลิงก์ปลอม หรือหลอกเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ใช่เป้าหมายของสื่อมวลชนกระแสหลัก หากแต่เป็นเพราะการโฟกัสที่ ‘ความเร็วในการนำเสนอ’ มากเกินไป จนขาดการ Cross Check หรือกลั่นกรองข้อมูล สอดคล้องกับความเห็นของกิตติ สิงหาปัด ผู้ดำเนินรายการข่าว 3 มิติในงานสัมมนาวันตรวจสอบข่าวลวง หัวข้อ ‘สงครามข้อมูล 2025’ ว่า สื่อมวลชนในสำนักข่าวที่ยังมีกระบวนการกลั่นกรองข้อมูลก่อนนำเสนอ ถือเป็นปัจจัยสำคัญของการต่อสู้กับข่าวลวง (ThaiPBS, 2025)

เหล่า Influencer สายข่าวเองก็อาจตกเป็น ‘ต้นทางของข่าวปลอม’ ได้เช่นเดียวกัน!

เพราะความกลัวภัยพิบัติ ทำให้คนเสพข่าวมักไม่รอบคอบเรื่อง ‘วันที่เผยแพร่’ คลิปเล่าข่าวคลิปใดที่เป็นกระแส มี Engagement เยอะ จนแพลตฟอร์มดันขึ้นฟีดบ่อย ๆ ก็มักถูกเวียนแชร์สร้างความตื่นตระหนกซ้ำ จนเกิดกระแส ‘ลือกันไปเอง’ อยู่บ่อยครั้ง

อย่างไรก็ดี Influencer สายข่าวหลายท่านทราบปัญหาและพยายามหาวิธีแก้ อาทิ คุณแซ็ค จากช่อง แซ็คเล่าเมาท์ข่าว ที่จะเขียนวันที่กำกับตลอดคลิป, คุณโย คณากร และคุณแคน อติรุธ ที่เน้นย้ำเรื่องวันที่เผยแพร่ตั้งแต่เริ่มแรกที่เล่า

ความพยายามจะเอาชนะข่าวปลอมช่วงภัยพิบัติ ผลักดันให้ศาสตรจาย์คิมูระ เรโอะ แห่งมหาวิทยาลัยเฮียวโก ประเทศญี่ปุ่น นำข่าวเท็จจำนวน 453 เรื่องมาวิเคราะห์ จนพบว่าข่าวปลอมเหล่านี้มีด้วยกัน 3 รูปแบบหลัก ๆ

ระวัง! ระลอกใหม่
ในช่วงที่ผู้คนยังคงเสียขวัญจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และภาครัฐกำลังประเมินความเสียหาย จะเริ่มมีข้อมูลเท็จแพร่สะพัดว่าภัยพิบัติกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงข่าวลือ

การรับมือภัยพิบัติ
เมื่อเหตุการณ์จบแล้ว และเริ่มมีการช่วยเหลือผู้ประสบภัย มักมีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการกระทำของนักการเมืองและคนดังแพร่กระจาย เช่น ข่าวปลอมช่วยเฮอริเคนเฮเลนและมิลดัน ที่ในช่วงต้นได้กล่าวถึงไป

การฟื้นฟู / บูรณะสิ่งใหม่
ขณะที่ความพยายามในการฟื้นฟูกำลังดำเนินไป ข่าวปลอมเกี่ยวกับผลกระทบจะเริ่มแพร่กระจาย เช่น เส้นทางหลักใกล้เคียงถูกปิด หรือระบบสาธารณูปโภคจะหยุดทำงานชั่วคราว ฯลฯ

ความท้าทายในการนำเสนอข่าวช่วงภัยพิบัติ ล้วนเกิดจากปัจจัยภายนอกที่ไม่อาจควบคุมได้ ทั้งความหวาดกลัวของประชาชน การขอความร่วมมือจากภาครัฐ รวมถึงข่าวลวงที่มักปะปนกับข่าวจริงอย่างแนบเนียน คำถามคือสื่อมวลชนควรจัดการอย่างไร…เรื่องนี้ข้อมูลจากหนังสือ จริยธรรมสื่อกับการจัดการข่าวลวงในสภาวะวิกฤต มีคำตอบให้!

ก่อนเกิดภาวะวิกฤต

  • วิเคราะห์ประเด็นข่าวให้รอบด้าน
  • ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานผู้รับผิดชอบโดยตรง
  • แสวงหา/เข้ารับการฝึกการจับสังเกตข่าวลวง
  • พิจารณาเนื้อหาว่าเป็นข้อมูลปฐมภูมิหรือไม่, ใครเป็นคนเริ่มส่งประเด็นนี้, วัน-เวลาและสถานที่ที่ประเด็นนี้เริ่มต้น, แรงจูงใจในการจุดประเด็น
  • ตรวจสอบความถูกต้องจากข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง

หลังเกิดภาวะวิกฤต

  • หยุดนำเสนอทันทีเมื่อพบว่าข้อมูลนั้นเป็นข่าวลวง
  • นำเสนอข้อเท็จจริงเพื่อแก้ไขข่าวลวงนั้น
  • แจ้งประชาชนว่าเป็นข่าวลวงประเภทใด
  • ส่งต่อความรู้เรื่องวิธีการตรวจสอบข่าวลวงกับประชาชน

ในฐานะผู้รับสาร แม้ว่าคุณจะไม่สามารถควบคุมการนำเสนอของเพจ หรือสื่อกระแสหลักได้ แต่หากรู้วิธีคัดกรองข้อมูลด้วยตัวเองเบื้องต้น อาวุธสงครามข้อมูลอย่างข่าวปลอมก็ไม่สามารถทำอะไรคุณได้!


Cr: Sky News

แหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือแค่ไหน?
>> สังเกต URL, ชื่อแอคเคาท์ และลักษณะคำในบทความหรือภาพข่าวทุกครั้ง ข่าวนี้มาจากใคร หากไม่ใช่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ควรเป็นสำนักข่าวที่เชื่อถือได้

ข้อมูลเป็นปัจจุบันหรือไม่?
>> ข่าวปลอมส่วนมากมักนำภาพข่าวเก่า หรือเนื้อข่าวเก่ามาดัดแปลง ลอง Cross Check ด้วยการนำภาพข่าวดังกล่าวไปเสิร์ชเพิ่มเติม ว่ามาจากเหตุการณ์ปัจจุบันใช่หรือไม่

มีแหล่งข่าวอื่นนำเสนอข้อมูลเดียวกันไหม?
>> ข่าวปลอมมักเล่นกับความฉับไว คนเห็นว่าน่าสนใจก็กดแชร์ ทั้ง ๆ ที่อาจมีข่าวนั้นบนเว็บไซต์เดียวหรือเพจเดียวก็ได้

สังเกตเนื้อหาให้ดี มีลิงก์แปลก ๆ ให้คลิกต่อไหม?
>> พฤติกรรมที่อันตรายยิ่งกว่าการกดแชร์ข่าวปลอม คือการคลิกลิงก์ปลอมจนถูกหลอกเก็บข้อมูลส่วนบุคคล หรือเข้าถึงบัญชีออนไลน์ หากพบว่าข่าวมีลิงก์แปลก ๆ ให้คลิกต่อไป ก็สันนิษฐานไว้เลยว่านั่นคือกับดักจากผู้ไม่หวังดี

แม้ทั่วโลกจะตระหนักกับข่าวปลอม และรู้จักกับรูปแบบของข้อมูลเท็จมากขึ้นแล้ว แต่ทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติ เหยื่อรายใหม่ก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นทุกครั้งไป

นั่นเพราะอาวุธที่ผู้เผยแพร่เลือกใช้ ไม่ใช่ยุทธวิธีใหม่ แต่เป็นการเล่นกับความสงสัย ความกังวล และค่านิยมในการแชร์ข้อมูลอย่างฉับไว

ดังนั้น จะดีกว่าไหม? หากเราจะพยายามเป็น ‘คนแรก’ น้อยลง และให้เวลากับการลงมือตรวจสอบข้อมูลมากขึ้น

References:

จริยธรรมสื่อกับการจัดการข่าวลวงในสภาวะวิกฤต

สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ:

https://broadcast.nbtc.go.th/data/academic/file/660600000003.pdf

ดูอย่างไร ข่าวไหนเป็น Fake News

NSM: https://www.nsm.or.th/nsm/th/node/4304  

Why misinformation is dangerous, especially during disasters

Canadian Red Cross: https://www.redcross.ca/blog/2023/5/why-misinformation-is-dangerous-especially-during-disasters  

ดีอี เผยสถิติ สแกน “เฟคนิวส์” 1.17 พันล้านข้อความ พร้อมแจ้งเตือนข่าวปลอม-บิดเบือน ปชช.แล้วกว่า 10,000 เรื่อง

รัฐบาลไทย: https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/95169