เส้นทางชีวิตของ ครีเอเตอร์สายอาร์ต ที่เขียนได้ด้วยตัวเอง
Atompakon เส้นทางชีวิตของ ครีเอเตอร์สายอาร์ต ที่เขียนได้ด้วยตัวเอง
Introduction
- ความสามารถด้านศิลปะเป็น “พรสวรรค์” หรือป่าว
- “ศิลปะ” ในมุมมองของ Atompakon
- ชีวิตที่ไม่มีทาง Perfect 100%
จากเด็กเรียนสายวิทย์-คณิตที่ทำตามความชอบในศิลปะ จนกลายเป็นครีเอเตอร์สาย Art & Craft และยังเป็นศิลปินนักวาด นักเขียนอีกด้วย เขาคนนั้น คือ คุณอะตอม ปกรณ์ (Atompakon) ครีเอเตอร์ที่ในวงการศิลปะไม่มีใครไม่รู้จัก วันนี้เราจะไปเรียนรู้แนวคิดผ่านภาพวาดชีวิตของเขาไปพร้อมกัน
เริ่มทำคอนเทนต์ในแบบที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง
เริ่มต้นทำคอนเทนต์เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน ซึ่ง ณ ตอนนั้นอยู่ในช่วงที่เขาตกงาน เป็นฟรีแลนซ์ และบวกกับกำลังตามหาสิ่งที่อยากจะทำ จึงตัดสินใจทำคอนเทนต์ โดยมีจุดประสงค์แรก คือ ‘อยากได้ตังค์’ และ คอนเทนต์ที่ครองใจคนดูได้ดีในช่วงนั้น คือ คอนเทนต์สำหรับเด็กที่มีความตลก จึงตัดสินใจทำ และผลที่ออกมามันดันสร้างรายได้ให้กับเขาจริงๆ แต่เมื่อทำไปสักพักผลที่ตามมาคือ ‘การไม่เป็นตัวของตัวเอง’
“ปกติเราไม่ได้เป็นคนตลก พอมันเริ่มเกินความสามารถไปแล้ว มันเลยเริ่มไม่สนุก”
“เริ่มคิดว่าจะทำต่อไปแล้วให้จิตใจมันย่ำแย่ หรือจะถอยออกไปรีเซ็ตตัวเองใหม่ หรือว่าจะแก้ปัญหาตรงไหนที่ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น มันเริ่มตกตะกอนมาตั้งแต่ตอนนั้น”
หลังจากนั้นคุณอะตอมได้ค่อยๆ ปรับวิธีการทำคอนเทนต์ของตัวเองมาเรื่อยๆ ซึ่งมีหลายคนถามมาเหมือนกันว่า ‘การเปลี่ยนมันดีหรือเปล่า?’ เขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะค่อยๆ ปรับจูน เลยไม่ได้มีผลกระทบต่อเขามากเท่าไหร่ และคนดูก็ค่อยๆ ปรับไปกับเขาด้วย
สามารถเป็นตัวของตัวเองหน้ากล้องได้แล้ว
“ต่างจากเมื่อก่อนที่ต้องเป็นอีกคนหน้ากล้อง และอีกคนหนึ่งไม่ได้เป็นคนที่เราอยากเป็นด้วย เป็นอะไรที่ยากอยู่” ในช่วงที่เขารู้สึกไม่เป็นตัวเองในการทำคอนเทนต์ เขาได้ปรึกษากับเพื่อนๆ ที่เป็นครีเอเตอร์เหมือนกัน และปรึกษากับที่บ้าน ซึ่งปกติไม่ค่อยปรึกษาเรื่องงานกับที่บ้านเท่าไหร่ แต่พอจะมองออกว่าคุณอะตอมไม่ค่อยมีความสุขกับสิ่งที่ทำเท่าไหร่ จึงได้บอกกับเขาว่า ‘ให้เลือกทำในสิ่งที่มีความสุขก่อน’ เขาจึงเริ่มปรับวิธีการทำคอนเทนต์จนเป็นคอนเทนต์ที่เราได้เห็นในปัจจุบัน
โจทย์ยากในการทำคอนเทนต์
“เรามีมาตราฐานคอนเทนต์ตัวเองว่า อยากสร้างคอนเทนต์ที่ให้ประโยชน์กับคนดู แต่คนดูต้องสนุกด้วย” ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากที่สุดสำหรับการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ทั้งเขาและใครหลายๆ คน เพราะจากเมื่อก่อนที่เขาทำคอนเทนต์ตลกๆ แล้ววันหนึ่งจะผันตัวมาทำคอนเทนต์ที่สร้างประโยชน์มากขึ้น เป็นความท้าทายอีกอย่าง เพราะฉะนั้นคุณอะตอมจึงมองว่า
“ถ้าเราทำคอนเทนต์ไปแล้ว คนดูได้อะไรจากเราไปไม่มากก็น้อย ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วสำหรับเรา”
“ไม่อยากให้คนดูเสียเวลาเปล่า เมื่อมาดูคอนเทนต์เรา ไม่ว่าจะตลก หรือไม่ตลกก็ตาม”
ความสามารถด้านศิลปะเป็น ‘พรสวรรค์’ หรือเปล่า?
“ไม่แน่ใจว่าเป็นใช่ไหม” ความชอบวาดรูปของคุณอะตอมมีมาตั้งแต่อนุบาล ถึงแม้ช่วงเรียนมัธยมจะเรียนสายวิทย์ – คณิตก็ตาม แต่เมื่อถึงตอนมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการค้นหาตัวเอง เขาจึงลองสอบเพื่อเข้าเรียนสายศิลป์ จึงทำให้เขาได้เรียนตรงตามสายที่ชอบจริงๆ เสียที
“พอรู้ว่าต้องสอบศิลปะ เลยทำการบ้านกับตัวเอง ถ้าอยากทำให้ได้ ต้องฝึกให้ได้เท่ากับคนอื่น หลังจากทำการบ้านคณิตเสร็จ ก็จะใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงในการฝึกศิลปะ วาดรูป เพื่อให้เรามั่นใจในฝีมือมากพอในทุกๆ วัน มีความตั้งใจอยากจะทำให้ได้ มีไฟ จนทำให้สอบเข้าสายศิลปะได้ ในสาขา Digital Art”
‘ศิลปะ’ สำหรับคุณอะตอม
“ในมุมเรา ศิลปะ เป็นเครื่องมือสื่อสาร จาก A ไป B เป็นอีกภาษาหนึ่งที่สามารถพูดกับทุกคนได้ โดยที่ไม่จำกัดว่าคนต้องเข้าใจภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทย มันมีความเป็นไปได้ทั้งหมดเลย”
“ต่างจากคณิตศาสตร์ที่ 1+1 = 2 แต่ว่าศิลปะจะเป็น 1+1 = ดอกไม้ หรือจะเป็นอะไรก็ได้ แล้วแต่คนที่ต้องการจะสื่อสาร”
คอนเทนต์เป็นเรื่องที่อยากจะสื่อสารทั้งหมด?
“ด้วยความที่เราเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ทำงานในวงการนี้มานาน พอจะเข้าใจตลาดว่า เราจะอยากพูดเรื่องที่เราอยากพูดอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องเป็นเรื่องที่คนอื่นอยากฟังด้วย ต้องมีการบาลานซ์กันบ้าง”
คุณอะตอมบอกว่าเข้าใจมุมของศิลปินที่อยากจะสร้างสรรค์ผลงานในแบบสไตล์ของตัวเอง แต่เมื่อต้องปรับบทบาทมาเป็นครีเอเตอร์มันคือ ‘การพูดกับทุกคน’ สำหรับศิลปินที่ลองเป็นครีเอเตอร์อาจจะยากในช่วงแรก แต่เมื่อได้ลองทำ คุณจะเข้าใจว่าเราไม่ได้ทำคอนเทนต์เพียงแค่ให้คนอาร์ตๆ ได้ดู แต่เรากำลังคอนเทนต์ที่สามารถเข้าถึงได้ทุกคน
ชีวิตของเราไม่มีทางเฟอร์เฟค 100%
สำหรับใครที่กำลังเครียดจากการทำคอนเทนต์ จนสุดท้ายอาจจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปในที่สุด อยากให้ลองหยิบเอาแนวคิดจากเขาไปลองปรับใช้ คุณอะตอมได้บอกกับเราว่า “เราไม่มีทางทำให้เฟอร์เฟคได้ 100% หรอก มันจะต้องมีวันที่เฟล ปัญหาจะต้องเกิดแน่นอน ไม่ว่าคุณจะเก่งขนาดไหน เป็นโมเมนต์ธรรมชาติที่ทุกคนจะต้องเจอ”
“ไม่ได้บอกว่าให้ทุกคนอย่าเครียด เครียดเลย เครียดได้ตามสบาย เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน เป็นเรื่องธรรมชาติของทุกคน Take Moment ตรงนั้น แล้วค่อยๆ ประคองจิตใจกันในวันต่อๆ ไป ถึงวันพรุ่งนี้อาจจะกลับมาเครียดใหม่ แต่อาจจะแข็งแรงขึ้น”
“เราจะเจอสิ่งใหม่ๆ ปัญหาใหม่ๆ เจอสิ่งที่เราต้องการใหม่ๆ เต็มไปหมด แต่อย่างน้อยเราได้ทำในสิ่งที่เราทำได้ ในวันนี้มันอาจจะไม่ได้ถึง 100% แต่อย่างน้อยก็อาจจะได้ถึง 50% อยากให้มองถึงสิ่งที่เราได้ทำมา”
ความรู้สึกที่ได้ทำหนังสือเป็นของตัวเอง
การทำหนังสือครั้งแรกของคุณอะตอม เขาได้รับคำปรึกษาที่ดีจากรุ่นพี่ที่เคยมีประสบการณ์ ในตอนนั้นเขายังไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับการทำหนังสือ แต่สุดท้ายก็ออกมาเป็นหนังสือเล่มแรก และเล่มอื่นๆ ตามมา และเขาได้เผยความรู้สึกหลังจากผลิตหนังสือเล่มที่เขียนและแต่งภาพโดย อะตอม ปกรณ์
“พอมันมีชื่อเราอยู่บนปก แล้วมันไปอยู่ทุกจังหวัด ทั่วประเทศ หนังสือเป็นสิ่งที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เขียนหนังสือเป็นของตัวเอง การทำหนังสือ มันเหมือนเราขึ้นภูเขา ในระหว่างทางมันเหนื่อย แต่พอถึงจุดหนึ่งจะรับรู้ถึงอากาศมันเย็นจังเลย เราก็ไม่แน่ใจว่าจุดที่เราอยู่มันสูงที่สุดแล้วหรือยัง แต่สำหรับมันคือโมเมนต์ที่สูงที่สุดแล้ว” เราได้ถามคุณอะตอมไปว่าการทำหน้งสือถือเป็นการประสบความสำเร็จในเป้าหมาของเขาหรือยัง คุณอะตอมได้ตอบกลับมาว่า
“เป้าหมายของเรามีเต็มไปหมดเลย และแต่ละคนน่าจะมีเป้าหมายที่ไม่เท่ากัน สุดท้ายคนเราจะสามารถทำอะไรได้เต็มไปหมด เพียงแต่เรานั้นยังไม่รู้เท่านั้นเอง”
ความรู้สึกตอนได้รางวัล TIA 2022 ‘Best art and design influencer’ และล่าสุดในปี 2023 กับรางวัล ‘Best Asia Pacific Influencer’
“ขอบคุณมากที่มองเห็นคอนเทนต์ในด้านนี้ ครีเอเตอร์สายอาร์ตยังไม่ใช่วงใหญ่ แต่พอมีเวทีให้รางวัล ทำให้คนใหม่ๆ ที่เข้ามาในวงการ หรือคนอื่นๆ มองเห็นคอนเทนต์ด้านนี้มากขึ้น ในประเทศไทยศิลปะยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่การที่เวทีให้รางวัลกับคนที่ตั้งใจทำ ทำให้คนนอกวงการได้เห็น คนในวงการได้เห็นว่ามีพื้นที่ให้พวกเขา มันสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนในวงการว่ามีคนเห็นเสียงของพวกเขา”
ฝากอะไรถึงคนที่อยากทำคอนเทนต์ด้านศิลปะ
จริงอยู่ที่การทำคอนเทนต์ Niche มันอาจจะเหนื่อย เพราะแสงไม่สว่างเท่ากับคอนเทนต์อื่น แต่อยากให้ทุกคนเชื่อว่าสิ่งที่คุณทำมันจะมีโอกาส ที่คนจะมองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คุณได้สื่อสารผ่านคอนเทนต์แน่นอน
“สำหรับเราเคยมีโมเมนต์ที่นอยด์ ที่เราพยายามแค่ไหน แต่แสงไม่สว่างเท่าคนอื่นเขา แต่มีช่วงหนึ่งที่มีน้อง ทักมาหลังไมค์บอกว่า ขอบคุณที่ทำคอนเทนต์ศิลปะ มันทำให้หนูสนใจเรียนศิลปะ จนสุดท้ายเขาเรียนจบศิลปะได้ และเขาสามารถเลี้ยงชีพตัวเองได้ด้วยศิลปะ ทำให้เรารู้ว่าคอนเทนต์ของเรามันสามารถจุดประกายอะไรบางอย่างให้กับคนหนึ่งคนได้”
จึงอยากเน้นย้ำกับคนที่กำลังคิดอยากจะลองทำคอนเทนต์ด้านศิลปะอีกครั้งว่า “สิ่งที่เราทำไม่ได้มีค่าแค่ยอดวิว แต่มันมีคุณค่าอย่างอื่นเต็มไปหมด” และนั้นคือแนวคิดดีๆ จากคุณอะตอม ปกรณ์ (Atompakon) ครีเอเตอร์ที่ได้ลองขีดเขียนเส้นทางชีวิตผ่านประสบการณ์ต่างๆ จนสุดท้ายเขาก็ได้อยู่ในจุด ที่หลายคนมองว่าประสบความสำเร็จ และเป็นสิ่งที่สร้างที่เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถแรงบันดาลใจในกับคนอื่นได้เป็นอย่างมาก