ความฝันที่ไม่มีสูตรสำเร็จ ความสนุกในการตามหาความฝันอย่างไม่สิ้นสุด
พีช-ปณิชา เมธาวิชิตชัย ความฝันที่ไม่มีสูตรสำเร็จ ความสนุกในการตามหาความฝันอย่างไม่สิ้นสุด
Introduction
- หลงรักการร้องเพลงตั้งแต่เด็ก
- The 38 Years Ago จากมุมของ “พีช-ปณิชา เมธาวิชิตชัย”
- รางวัลที่จะมอบให้ตัวเอง “รางวัลเป็ด”
วันนี้เราพาทุกคนไปรู้จักกับผู้หญิงที่อยากจะมอบรางวัล ‘เป็ด’ ให้กับตัวเอง จากเบื้องหน้าที่หลายคนรู้จักในฐานะศิลปิน แต่ตัวตนของเธอจริงๆ มีอะไรที่น่าสนใจอยู่มาก มารู้จักกับเธอคนนี้กัน ‘คุณพีช-ปณิชา เมธาวิชิต’ ศิลปินวง The 38 Years Ago และอินฟลูฯ ที่สนใจด้านสิ่งแวดล้อม Well-being และเป็นยังพนักงานประจำด้วย
หลงรักการร้องเพลงตั้งแต่เด็ก
จุดเริ่มต้นแรกของเธอที่ทำให้ชื่นชอบในการร้องเพลงมาจากการได้ฟังเพลงพี่เบิร์ดผ่านคุณแม่ คุณพีชเธอเล่าว่า “คุณแม่จะเปิดเพลงพี่เบิร์ดให้ฟังทุกคืน และถ้าเราไม่ได้ฟัง เราก็จะร้อง เบิร์ดๆ ร้องไห้ นอนไม่หลับ” ความชอบร้องเพลงน่าจะถูกซึบซับมาจากการที่คุณแม่ชอบฟังเพลง พอโตขึ้นเลยชอบร้องเพลง ความฝันในตอนเด็กมีอย่างเดียวเลย คือ นักร้อง”
และเหมือนเธอเองจะมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงที่ดีมาก ด้วยน้ำเสียงที่ใส ทำให้หลายคนหลงรักในเสียงร้องของเธอ แต่ก็มีจุด Turning Point บางอย่างช่วงมัธยมที่ทำให้ความคิดของเธอเริ่มเปลี่ยนไป
“ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีเสียง เราจะสูญเสียสิ่งเรารักไปหรือเปล่า เหมือนเริ่มเข้าใจโลกมากขึ้น จึงเริ่มหาตัวเองในมุมอื่นๆ ด้วย อยากลองทำมุมอื่นด้วย ที่ไม่ใช่ร้องเพลง หาตัวเองในมุมอื่นด้วย ร้องเพลง เราอยาก Treat ให้มันเป็นสิ่งที่เติมใจ” การค้นหาตัวตนของคุณพีช ผ่านการลองทำอะไรหลายอย่าง เพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตว่าจะดำเนินไปทิศทางไหนดี จนถึงช่วงเข้ามหาวิทยาลัย
ค้นพบตัวตนใหม่
เมื่อต้องเข้ามหาวิทยาลัยคุณพีชได้เจอกับตัวตนที่เรียกได้ว่า เปลี่ยนวิธีการคิดของเธอไปอีกขั้น จากการเข้าเรียนคณะนี้ทำให้เธอได้เกิดแรงบันดาลใจที่ต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
“ตอนนั้นเราเลือกเรียน Health Communication (มศว.) และมีเอกวิชาที่ค่อนข้างแปลกกว่าคนอื่นนิดนึง คือ ‘การสื่อสารเพื่อสุขภาพ’ ผสานระหว่างความเป็นวิทยาศาสตร์ บวกกับศาสตร์เรื่องการคิดวิเคราะห์ Design Thinking ต่างๆ เราได้เจอตัวตนตอนปีสาม ว่าเราชอบงานครีเอทีฟที่เกี่ยวกับสังคม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ จบมาเลยเลือกทำงานเอเจนซี่ที่ทำงานด้านนี้โดยตรง เพื่ออยากจะพัฒนาสื่อสุขภาพในตอนนั้น”
อยากจะเป็น Change Maker
“ในสาขาวิชาจะมีวิชาสอนทฤษฎีให้เข้าใจมนุษย์ เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ เราเลยคิดว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเริ่มจาก Mindset หรือเริ่มจากทัศนคติ เพราะว่าทัศนคติส่งผลต่อความเชื่อ และความเชื่อส่งผลต่อพฤติกรรม เลยทำให้เราคิดว่าทุกคนเปลี่ยนแปลงได้ โลกก็ต้องเปลี่ยนแปลงได้ และเริ่มจากตัวเราเองที่พิสูจน์ทฤษฎี ว่าเราเชื่ออะไร เรามี Mindset แบบไหน มันจะเปลี่ยนแปลงตัวเราจริงๆ”
ความเชื่อในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นเรื่องที่คุณพีชเองได้ลองพิสูจน์กับตัวเองจนเธอเชื่อว่าคนเราสามารถเปลี่ยนได้จริงๆ ซึ่งเกี่ยวกับความชอบในเรื่องกรีนของเธอด้วย เป็นอีกมุมหนึ่งที่ทำให้เราได้รู้จักคุณพีชไปอีกขั้น แต่ถ้าถามถึงมุมของการเป็นศิลปินละ จุดเริ่มต้นมันมาได้อย่างไร ?
The 38 Years Ago จากมุมของคุณพีช
ครูฝึกสอนเปียโนวัย 20 ปีต้นๆ ครูฝึกสอนคนที่เป็นที่รักของนักเรียน บังเอิญเห็นคลิปร้องเพลงคุณพีชในวัย 16 ปีจากเฟซบุ๊กส่วนตัว และทักมาชวนทำวงดนตรีด้วยกัน และครูฝึกสอนคนนั้นคือ ‘พี่อมยิ้ม’
“วันนั้นที่ลงคลิปในเฟซบุ๊กพี่อมยิ้มก็มาคอมเมนต์ว่า สนใจมาทำวงด้วยกันไหม เหมือนมันเกิดจากความบังเอิญที่เราไม่ได้คิดอะไร เป็นโชคชะตาที่ให้เราได้มาทำวงด้วยกัน ไม่ได้หวังผลอะไร นอกจากสนุก”
เพลงแรกที่ร้อง Cover ลงคือเพลง ‘เธอยัง’
เริ่มจากการถ่ายคลิปวิดีโอ Cover ง่ายๆ ไม่ได้มีอุปกรณ์อะไรมาก และแถมคลิปแรกที่ลงดันไม่ใช่คลิปที่ตั้งใจจะอัดด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นว่าผู้ชมสัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติ จนเริ่มมีผู้ติดตามมากขึ้นเรื่อยๆ
“คลิปนั้นเป็นคลิปที่เราอัดซ้อมกัน เราอัดแบบจริงจังกันอีกเพลง แต่ว่าวันที่ต้องลงคลิป คลิปนั้นดันเสีย พี่อมยิ้มเลยบอกว่า ‘แกมันมีคลิปนี้ที่เราซ้อมกัน ลงได้ไหม’ ซึ่งคลิปนั้นเป็นคลิปที่เรา Warm up แก้เกร็งกัน เริ่มอะไรก็ไม่พร้อมกัน พูดกันยังไม่รู้เรื่อง เลยเป็นจุดเริ่มต้นของคำพูดที่ว่า ‘ 5 4 3 2 1’ เป็นการจูนกันของเราทั้งสองคน ให้เริ่มต้นพร้อมกัน”
จากจุดเริ่มต้นในวันนั้นทำให้ทั้งเขาและเธอได้กลายเป็นศิลปินอย่างจริงจังภายใต้ค่ายเพลง ที่มีซิงเกิลปล่อยออกมาถึง 4 เพลงด้วยกัน ถือเป็นการเติบโต และการเรียนรู้ในยุคนั้นที่ชาเลนจ์คุณพีชมาก แต่เธอก็ได้รับความสุขของการทำสิ่งนั้นเป็นอย่างดี
ความรู้สึกหลังปล่อยซิงเกิลแรก
“ความรู้สึกเหมือนฝันเลย ตอนเด็กๆ เราไม่รู้เลยว่าเราอยากเป็นอะไรนอกจากร้องเพลง พอเราสามารถ Archive ของการได้ร้องเพลงแล้ว เราเลยรู้สึกว่าขอบคุณที่เรายังรักการร้องเพลงอยู่ ขอบคุณเราที่เรายังทำต่อไป การเดินทางในตอนนั้นมันมีสิ่งที่เป็นอุปสรรค หรือเรื่องเศร้าโศกเสียใจ แต่เราก็ยังไม่ทิ้งมัน พอถึงจุดที่มีซิงเกิลแรก เรารู้สึก Appreciate กับมันมากๆ”
ซึ่งในช่วงซิงเกิลแรกเพลง How Long เป็นช่วงที่คุณพีชเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย วันถ่าย MV ยังมีสอบอยู่เลย คุณพีชเธอได้จัดการบาลานซ์ชีวิติในเรื่องการทำงานและการเรียนได้ดีเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้นผ่านไป 4 ปี การทำวงก็ยุติลงไป
หลังหยุดทำวง ตอนนั้นเราหันไปโฟกัสอะไร
“ตอนนั้นโฟกัสงานประจำ เพราะว่าแพลนชีวิตเราอีกด้านหนึ่งคือ จบมา อยากเป็นพนักงานประจำ เพราะว่าวันหนึ่งเราอยากจะทำ Social Enterprise ของตัวเอง หรือธุรกิจที่เราอยากบริหารเอง เราคิดว่าคนๆ คนหนึ่งจะเป็นผู้บริหารได้ เราอยากเป็นฟันเฟืองของบริษัทนั้นก่อน อยากเรียนรู้ทุกสิ่งที่เราจะบริหารใคร เราอยากเป็นคนที่ถูกขับเคลื่อนในองค์กรนั้นก่อน ค่อยๆ เติบโตในสายการทำงาน บวกกับการร้องเพลงด้วย”
ซึ่งในตอนนั้นคุณพีชไม่ได้ทิ้งการร้องเพลงไปไหน เพียงแต่ไม่ได้ทำวงกับพี่อมยิ้ม เธอมีโอกาสได้ลองแต่งเพลงและลงทุนทำเพลงเองเพลงชื่อว่า ‘ต่อให้’ เป็นการเติบโตจาก Comfort Zone ของเธอ แต่เธอมีความสุขกับการได้ลงทุนทำเพลงของตัวเองเป็นอย่างมาก โดยไม่ได้สนใจเลยว่าที่ลงทุนไป ต้องได้กำไรกลับ เธอเพียงแค่อยากทำสิ่งนี้เพราะ ‘เธอรักในการร้องเพลง’
ความชอบด้านกรีน เริ่มต้นจากไหน
“เริ่มต้นจากตอนเด็กที่ ‘ห่วงของ’ ตอนนั้นชอบกินขนมที่มีกระป๋อง และไปเจอรายการที่เขาสอน DIY เรากินขนมเยอะ และกระป๋องเยอะมาก เลยคิดว่าเอาขยะมาทำที่ใส่ของดีกว่า น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องกรีน จากการรู้สึกเสียดาย”
ซึ่ง ณ ตอนนี้คุณพีชเน้นในวิธีการ Reduce มากกว่า เพื่อที่จะสร้างขยะในน้อยที่สุด เท่าที่เธอจะสามารถทำได้ ซึ่งสิ่งที่เธอทำ เหมือนเป็นการ Influence ให้กับคนในครอบครัวไปด้วย เพราะอยากที่เธอกล่าวไว้ว่าการจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง มันควรจะเริ่มเปลี่ยนจากตัวเราก่อน เป็น Role Model ให้คนเห็นจนในที่สุดคนในครอบครัวเธอเริ่มหันมาสนใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เป็นหนึ่งการเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างหนึ่ง
บทบาทในการเป็นอินฟลูฯ ต้องการให้อะไรกับคนดู?
“ช่วงหนึ่งที่เราเคยกดดันในเรื่องยอดกดไลก์ กดแชร์ ในตอนที่เราอายุ 16 มันอาจจะค่อนข้าง Popular มาก แต่ ณ วันนี้ที่อายุ 28 ปี มันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราจะเอาชีวิตไปอยู่กับแค่ยอดเหล่านั้นไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากให้อะไรคนมากกว่า อันนั้นคือ Quality ไม่ใช่ Quantity
“ต้องตกตะกอนว่าเราต้องการให้อะไรกับคนดู ต้องการทำเพื่อให้เขาไปซัพพอร์ตเรื่องอะไร เราต้องการทำเพื่อให้เขารับรู้อะไรบางอย่าง และตัวเรามีความจริงใจต่อสิ่งที่เราทำมากแค่ไหน คือ สิ่งสำคัญ”
ความรู้สึกตอนได้เข้าชิงรางวัล Thailand Influencer Awards
“มันเป็นการเดินทางของเรา ที่เราไม่คิดว่าเราจะต้องได้รางวัลอะไรจากการที่เราทำ ได้เข้าชิงก็ดีใจมากๆ แล้ว ในนั้นมีพี่ๆ หลายคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ เรายังถือว่าเป็นเด็กใหม่มากๆ ในวงการเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ว่าเราพยายามที่จะสื่อสารเรื่องนี้ให้คนเข้าใจ ให้คนมอง Positive ในการที่จะช่วยโลกใบนี้ให้ดีขึ้นได้ ในส่วนที่ตัวเองทำได้ มันอยู่ที่ Mindset ของเราที่เชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ แต่อย่าคิดว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างด้วย ต้องบาลานซ์ เราทำได้เท่าที่เราทำได้ ต้องเข้าใจในมุมมองของคนอื่นด้วย”
การเป็นศิลปินมันช่วงส่งเสริมเรื่องกรีนอย่างไร
“ส่งเสริมมาก พอเป็นศิลปินเราอยู่ในสปอตไลต์ เราอยู่ในพื้นที่ที่มีคนเชื่อเรา เพราะเรามีแฟนๆ ที่พร้อมจะซัพพอร์ตในสิ่งที่เชื่อ เราก็ต้องเป็น Role Model ที่ทำไปให้เขาเห็นว่าสิ่งนี้มันสิ่งที่ดี อยากทำบ้าง เราก็พยายามที่จะทำอยู่”
“ถ้าวันหนึ่งเรามีกำลังที่เยอะขึ้น เราก็อยากจะไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการเปลี่ยนแปลงภาพใหญ่”
ประโยคนี้ที่คุณพีชได้พูดเป้าหมายของการทำเรื่องกรีน เป็นเรื่องที่คนตระหนักรู้ในวงกว้างได้มากขึ้น
เป็นเจตนารมณ์ที่แข็งแกร่งอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้
เป้าหมายด้านการเป็นศิลปิน
“เป็นสิ่งที่พูดยากเหมือนกัน เพราะเราไม่อยากคาดหวังในการเป็นศิลปินที่ต้องมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ว่าพอเราอยากจะร้องเพลงแล้วมีคนดู มันเท่ากับว่าต้องมีชื่อเสียงประมาณหนึ่ง เพื่อให้มีงานได้ซัพพอร์ต เลยคิดว่า การเป็นศิลปิน อยากให้ผลที่ออกมาเป็นผลที่เกิดจากการกระทำ เราทำเต็มที่แบบไหน สิ่งนั้นก็น่าจะเป็น Reward กลับมาในรูปแบบหนึ่ง แต่ไม่ได้คาดหวังว่าเราต้องเป็นศิลปินระดับประเทศ”
ในช่วงเวลาที่ห่างหายจากการทำเพลงไป ทำให้คุณพีชเองได้รู้ว่าการร้องเพลงเป็นเหมือนสิ่งที่มาเติมเต็มชีวิตของเธอให้มีความสุขมากขึ้น และเธอก็พร้อมที่จะเต็มที่ในบทบาทของการเป็นศิลปิน
อีกทั้งคุณพีชเองเป็นคนที่อยากมี Passion ในหลายๆ เรื่อง ไม่ได้อยากเติบโตในด้านใด ด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว อยากลองทำอะไรใหม่อยู่ตลอดเพื่อให้ได้รู้จักกับตัวเองมากขึ้นในมุมต่างๆ ไม่ได้ยึดติดกับอะไร และเธอจะเต็มที่กับทุก Passion เสมอ
ถ้าจะมองรางวัลให้ตัวเองน่าจะเป็น ‘รางวัลเป็ด’ เพราะคุณพีชเธอมีความสนใจในหลากหลายด้านมากๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านประวัติศาสตร์ สิ่งแวดล้อม วิทย์ สุขภาพ หรืออื่นๆ สนใจในทุกอย่างเลย จึงอยากเรียนรู้ไปไม่สิ้นสุด
การเป็น ‘เป็ด’ ไม่ดีหรือเปล่า
“ต้องถามว่า ดี ไม่ดี แปลว่า อะไร และขึ้นอยู่กับความหมายของคน ไม่ได้อยู่กับใครเลย อยู่ที่ตัวเองแฮปปี้กับการเป็นเป็ดไหม เราว่าทุกอย่างมันฟังเสียงตัวเอง เราฟังเสียงรอบข้างได้ แต่เราจะรู้ว่าเราทำอะไรอยู่ ถ้าเราฟังเสียงตัวเอง และมีแพลนของตัวเอง”
สิ่งอยากทำแล้วไม่ได้ทำ คือ
“ความฝันอันสูงสุดของเรา คือ การไปบวชโกนผมที่เนปาล อย่างแพลนในปีนี้จะไปปฏิบัติธรรมทุก Quater เพราะปีที่แล้ว เรามีความเครียด และยึดถือตัวเองเยอะ อาจจะเพราะเปลี่ยนบริษัททำงานด้วย ทำให้ยังไม่ค่อยปรับตัวกับการทำงานกับคนเยอะ และหลายรูปแบบ มันทำให้ใจเรามันไม่นิ่ง แต่พอได้เราอยู่กับตัวเองเยอะ ได้ฝึกแกนของจิดใจให้สงบ และมันนิ่ง ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องมีพื้นที่แบบนี้บ่อยๆ”
“อยากทำเพราะว่าอยากรู้ว่ามันจะไปถึงจุดไหน และค่อนข้างที่จะไปสุดในทุกด้าน พอเราต้องออกกล้องอยุ่ในสปอตไลท์ อีกมุมหนึ่ง ไม่อยากมีอะไรเลย เราเลยต้องบาลานซ์ตัวเองว่าอะไรที่มันเข้ามาในใจ หรืออะไรที่เรายึดถือ มันไม่มีอะไรอยู่ตลอดไป มันแค่ชั่วคราวจริงๆ เราแค่ต้องมีความสุขกับปัจจุบัน เห็นค่าความสุขกับปัจจุบัน”
“แค่มีความสุขกับการให้ความหมายของความสุขของตัวเอง คือ สิ่งสำคัญ”
ฝากอะไรถึงคนที่ติดตาม หลังจากได้รู้จักตัวตนของเราผ่านการสัมภาษณ์ครั้งนี้
“สวัสดีทุกคน และยินดีที่ได้รู้จักกันนะคะ ฝากติดตามสิ่งที่เราเป็น และสิ่งที่เราชอบในหลายรูปแบบด้วยนะคะ อย่างเพลงก็ฝาก The 38 Years Ago หรือถ้าเป็นไลฟ์สไตล์ หรือชีวิตเราก็เป็น Peach Panicha ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนอีกครั้ง อยากให้ทุกคนแฮปปี้ และให้ความสำคัญกับปัจจุบันมากๆ เพราะเราไม่รู้ว่าวันไหนที่เราจะอยู่หรือไม่อยู่ แต่สิ่งสุดท้ายที่ได้ทำก็อยากให้แฮปปี้กับตัวเองมากที่สุด”
คุณพีชได้ทิ้งท้ายไว้ถึงคนที่อ่านไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่คุณจะนำเอาแนวคิดที่ได้จากบทสัมภาษณ์นี้ไปปรับใช้ในชีวิตอย่างไรได้บ้าง เพื่อทำให้ตัวคุณเองมีความสุขกับตัวเองได้มากที่สุด สำหรับวันนี้ขอขอบคุณ ‘คุณพีช ปณิชา’ เป็นอย่างมากที่เปิดโอกาสให้เราได้รู้จักตัวตนอีกด้านที่มากกว่าการเป็นศิลปินและอินฟลูเอนเซอร์