บางครั้งสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตไม่ได้เริ่มจากแผนที่ใหญ่โต แต่มาจากการลงมือทำเล็กๆ ที่ทำซ้ำทุกวัน
บางครั้งสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตไม่ได้เริ่มจากแผนที่ใหญ่โต แต่มาจากการลงมือทำเล็กๆ ที่ทำซ้ำทุกวัน
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำช่องเลยครับ แค่ฝึกเขียนเล่นๆ แล้วแฟนบอกว่าผมเขียนได้ดี ก็เลยลองแปลเป็นไทยแล้วเปิดเพจเฟซบุ๊กลงดู” แน็คเล่าอย่างเรียบง่าย
เมื่อโพสต์ไปเรื่อยๆ เริ่มมีคนแชร์ มีคนติดตามมากขึ้น จังหวะนั้นกระแสพอดแคสต์แบบไม่เห็นหน้ากำลังมาแรง เขาจึงเปิดช่อง YouTube และเริ่มอัดเสียงพูดสัปดาห์ละสองคลิป จุดนั้นเองคือการเริ่มต้นของช่อง Nack Siwakorn ที่ยังไม่รู้ว่าจะพาเขาไปไกลแค่ไหน
จุดเริ่มที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยความตั้งใจ
ช่วงแรกของช่อง แน็คเพียงต้องการแบ่งปันความคิดดีๆ ที่ได้อ่านจากหนังสือพัฒนาตัวเอง เขาไม่ได้เล่าจากประสบการณ์ส่วนตัว แต่สรุปเนื้อหามาเล่าใหม่ในแบบเข้าใจง่ายและเป็นกันเอง ถ้าให้เขาอธิบาย เขาว่าช่องของตัวเองในตอนนั้นอาจเข้าข่าย “ช่องเบียวพัฒนาตัวเอง” แต่ถึงจะขำกับคำนี้ทุกครั้งที่พูดถึง เขาก็ยังลงคลิปต่อไปอย่างสม่ำเสมอ
“ถ้าใช้ภาษาวัยรุ่นคงจะเรียกได้ว่าผมอยู่ในหมวดช่องเบียวพัฒนาตัวเองเลยครับ แต่ผมสนุกกับมันมากจริงๆ”
สิ่งที่แน็คสนใจมากที่สุดในเวลานั้นคือเรื่อง Mindset เขาอยากให้คนฟังได้แรงบันดาลใจจากความคิดดีๆ ที่เปลี่ยนชีวิตเขาได้จริง เขาเชื่อว่าหากมีคนสักคนได้ฟัง แล้วอยากเริ่มพัฒนาชีวิตตัวเองเหมือนที่เขาทำ นั่นก็ถือว่าคุ้มแล้ว
ช่วงเปลี่ยนผ่านที่ทำให้เติบโต
แน็คใช้เวลาสองปีเต็ม สร้างช่องจากศูนย์เป็นสองพันผู้ติดตาม โดยไม่เคยขาดการอัปโหลดเลยแม้แต่สัปดาห์เดียว แต่หลังจากนั้นเพียงหกเดือน จำนวนผู้ติดตามก็เพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งแสนคนอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขา คือช่วงที่เริ่ม “โฟกัสสุดชีวิต” หลังได้ฝึกงานในปีสามและพบว่าชีวิตในบริษัทไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ
“ตอนนั้นแผนในหัวทั้งหมดพังหมดเลยครับ ผมเลยต้องกดดันตัวเองให้หาทางเลี้ยงชีวิตหลังเรียนจบให้ได้ และผมเลือก YouTube”
ช่วงเวลานั้นแน็คลงมือทำทุกอย่าง ทั้งการวิเคราะห์ตลาด ศึกษาช่องของต่างประเทศ และทดลองแนวทางใหม่ เขาพบว่าผู้ชมในสายพัฒนาตัวเองนิยมฟังคลิปยาว เพราะมักเปิดฟังระหว่างทำกิจกรรมอื่น เขาจึงเริ่มทำคลิปความยาวหนึ่งชั่วโมงแบบเจาะลึก เปิดหน้าพูดจริงจัง และปรับสไตล์ให้ใกล้ชิดคนดูมากขึ้น ผลตอบรับดีเกินคาด และนั่นคือก้าวแรกของการเปลี่ยนช่องให้เป็นอาชีพเต็มตัว

จากคอนเทนต์เพื่อความชอบ สู่การมองตัวเองเป็นธุรกิจ
เมื่อเรียนจบ แน็คพบว่าความท้าทายไม่ได้อยู่ที่การทำคลิปให้ดี แต่อยู่ที่การทำให้มันยั่งยืน เขาเรียนรู้ว่าการพึ่งรายได้จากยอดวิวหรือสปอนเซอร์เพียงอย่างเดียวไม่มั่นคงพอ เพราะสิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถควบคุมได้
“ผมเคยมีช่วงที่อยากได้ยอดวิวเยอะๆ อยากให้สปอนเซอร์เข้ามาเยอะๆ แต่สุดท้ายมันเหนื่อยมากครับ เพราะเราไม่สามารถควบคุมได้เลยว่าวันหนึ่งยอดวิวจะตกเมื่อไหร่ หรือใครจะดังขึ้นมาแทนเรา”
เขาเริ่มหันมามองสิ่งนี้ในมุมของธุรกิจ “ผมเลิกวิ่งตามยอดวิว เลิกวิ่งตามสปอนเซอร์ แล้วกลับมาถามตัวเองว่าเราชอบพูดเรื่องอะไร และคนที่เราช่วยได้จริงเขาต้องการฟังเรื่องไหน”
เขาจึงเริ่มมองตัวเองเป็นธุรกิจ มองคนดูเป็นลูกค้า และสร้างคอนเทนต์เพื่อแก้ปัญหาของพวกเขาแทนที่จะวิ่งตามกระแส เขาทำสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตัวเอง สร้างรายได้ที่มั่นคงขึ้น และที่สำคัญคือได้ทำในสิ่งที่รักโดยไม่ต้องกังวลว่าต้องดังหรือไวรัลทุกคลิป
โอกาสที่ครีเอเตอร์มอบให้
เมื่อถามว่าอาชีพนี้มอบอะไรให้เขามากที่สุด แน็คตอบชัดว่า “แทบทุกอย่างที่ผมมีตอนนี้ก็มาจากการเป็นครีเอเตอร์ครับ”
เขาได้ทำอาชีพที่รัก ได้ฝึกขัดเกลาตัวเองทุกวัน ได้รู้จักผู้คนมากมายที่เคยเป็นไอดอลของตัวเอง และได้มีโอกาสเขียนหนังสือที่เล่าประสบการณ์การเติบโตของตัวเอง
“ผมได้เพื่อนและพี่น้องในวงการเยอะมาก หลายคนกลายเป็นคนที่ผมรักและไว้ใจได้จริงๆ ทั้งหมดนี้คงไม่เกิดขึ้นถ้าวันนั้นผมไม่หยิบกล้องขึ้นมาพูดคนเดียวหน้าคอมพ์”
สิ่งที่มอบให้ผู้ชม
แน็คพูดด้วยความถ่อมตัวว่า “ผมคงไม่กล้าเคลมว่าช่องของผมเปลี่ยนชีวิตใคร เพราะทุกคนมีต้นทุนและความพยายามของตัวเองอยู่แล้ว”
สิ่งที่เขาทำคือแบ่งปันสิ่งที่เรียนรู้ ทั้งเรื่องการใช้ชีวิต การสร้างวินัย การพัฒนาความคิด และการสร้างรายได้ เพื่อให้คนดูนำไปต่อยอดในแบบของตัวเอง
“ถ้าเขาเอาแนวคิดบางอย่างไปต่อยอด แล้วมันช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้นจริง แค่นั้นผมก็รู้สึกดีมากแล้วครับ”
ความหมายของรางวัล
Winner อันดับ 3 ในสาขา Best EduSkill Creator Award บนเวที Thailand Influencer Awards 2025 by Tellscore คือหลักฐานว่างานของเขาถูกมองเห็นและสร้างผลกระทบให้สังคมได้จริง
“ดีใจครับ ไม่ซับซ้อนเลย ผมรักงานนี้มาก และทุกครั้งที่มีคนมาบอกว่าเขาได้อะไรจากสิ่งที่ผมทำ มันเป็นพลังให้ผมอยากทำต่อจริงๆ”
เขาเล่าว่ามักมีคนดูเข้ามาทักในงานว่า รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกับเขามาตลอดสองปี “คำพูดแบบนั้นมันมีค่ามากครับ มันทำให้เรารู้ว่าทุกสิ่งที่ทำมันมีความหมาย”

ถ้าโลกไม่มีครีเอเตอร์
“มนุษย์เราอยู่กันเป็นสังคมเสมอครับ ต่อให้ไม่มีคำว่าอินฟลูเอนเซอร์ เราก็ยังมีคนที่คอยเป็นผู้นำทางอยู่ดี”
แน็คเชื่อว่าครีเอเตอร์คือสะพานเชื่อมระหว่างข้อมูลกับความรู้สึก “ลองนึกภาพว่าโลกนี้ไม่มีใครเล่าเรื่องผ่านอารมณ์เลย คนขายก็พูดแต่ข้อมูล คนซื้อก็ไม่รู้สึกอะไร มันคงเย็นชืดมากแน่ๆ”
ท้ายนี้ การเดินทางของแน็ค ศิวกร เจ้าของช่อง Nack Siwakorn เริ่มจากความกลัวเล็กๆ ที่เขาเลือกเปลี่ยนให้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิต จากการฝึกเขียนทุกวัน จนกลายเป็นเสียงที่ปลุกให้คนอีกมากมายลุกขึ้นพัฒนาตัวเอง
เพราะบางครั้ง การเปลี่ยนชีวิตไม่ได้เริ่มจากการมีแผนที่สมบูรณ์ แต่อาจเริ่มจากการลงมือทำสิ่งเล็กๆ ด้วยความตั้งใจ อย่างที่เขาทำจนถึงวันนี้


